​MotoGPที่โมเตกิ นักแข่งเจอ “Very Hard” กับการเบรก

แทร็คในรายการ Japannese GP ยังคงเป็นการชิงชัยที่ TwinRing จะประกอบด้วยโค้งแบบ Slow Corners ที่ซึ่งนักแข่งทุกคนจะต้องควบคุมจังหวะการเบรกกิ้ง และเบรกจะต้องถูกเซ็ทมาเพื่อสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม โดยในสนามนี้ Brembo ได้จานดิสก์ขนาด 340 มม.สำหรับภารกิจในเกมนี้ ก่อนอื่นเรามารู้จักสนามกันสักนิด คือ สนาม TwinRingMotegi แห่งนี้ เริ่มสร้างขึ้นในปี 1997 โดย Honda ตั้งอยู่ที่เมือง Motegi บนเกาะ Honshu เกาะที่ใหญ่ที่สุดหรือแผ่นดินที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น สำหรับสนามแห่งนี้จะถูกออกแบบคล้ายกับเป็นวงแหวนสองวง โดยวงนอกหรือแทร็คด้านนอกนั้นจะเป็นแทร็ควงรีหรือOval ส่วนด้านในจะเป็นแทร็คในแบบ Street Circuit หรือสนามแข่งปกติ ที่จะมีจุดเชื่อมกับ Oval ที่โค้ง 5-6 กับ 11-12 ความยาวต่อรอบสนามนั้น คือ 4,801 เมตร ที่จะแข่งขันกันทั้งสิ้น 24 รอบสนาม โดยมีเบรกโซนหรือจุดในการใช้เบรกทั้งสิ้น 10 จุด จากทั้งหมด 14 โค้งนั้น จุดมีความยากที่สุดหนักหน่วงที่สุดในจังหวะการใช้เบรกนั่นก็คือ โค้ง 11 โดยจะมีถึงเจ็ดโค้งที่จะใช้ความเร็วต่ำกว่า 100 กม./ชม. และนับตั้งแต่เปิดใช้ในการแข่งขันระดับเวิร์ลด์กรังด์ปรีซ์ตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา ปัญหาสำคัญของการเบรกหรือระบบเบรกบนแทร็คแห่งนี้ก็คือ การลดความร้อนให้กับระบบเบรก เนื่องจากการใช้เบรกนั้นอยู่ในระดับที่หนักหน่วงแบบโค้งต่อโค้งนั่นเอง เพราะฉะนั้นในสนามแห่งนี้ จึงต้องมีการระบุเงื่อนไขไว้ในกติกาของ FIM Regulations ว่า “ให้ใช้ดิสก์ขนาด 340 มม.” ซึ่งระดับตัวเลขของเรทความยาก 1-5 ในการจัดอันดับเกี่ยวกับการเบรกกิ้งในสนามแข่งจะพบว่า TwinRing ได้รับการจัดให้อยู่ในเรท 5



 
จากทั้งหมด 14 โค้งบนแทร็ค Twin Ring Motegi นี้ อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า มีโซนเบรกทั้งสิ้นสิบจุด ซึ่งในหนึ่งรอบสนามนั้นจะใช้เวลากับการเบรก 35 วินาที โดยจะมีอยู่เพียงห้าโค้งที่ต้องใช้ระยะเวลาในจังหวะการเบรกมากกว่าสี่วินาที จากทั้งหมด 24 รอบสนามที่แข่งขันกัน เวลาในการเบรกกิ้ง จะคิดเป็น 33% ของเวลาในการแข่งขันทั้งหมดในการชิงชัย นั่นหมายความว่า “เบรกกิ้ง” คือ อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญในการแข่งขันที่นี่







จากทั้งสิบโซนการเบรกหรือสิบโค้งที่ต้องใช้เบรกนั้น จะมี สามโค้ง ที่จัดว่าต้องให้ความสำคัญกับจังหวะการเบรกกิ้งในระดับหนักหน่วง , ถัดมาอีกสี่โค้งจะมีความยากในระดับกลาง และมีอีกสามโค้งอยู่ในระดับเบา โดยโค้งที่ 11 นั้นเป็นจุดที่มีความหนักมากที่สุด กับโค้งที่ต้องเลี้ยวเป็นมุม 90 องศา ที่จะเกิดแรงดึงจากการกดเบรกในระดับ 1.5G  โดยจะลดความเร็วจาก 308 กม./ชม. ในระยะเวลา 5.2 วินาที ลงมาเหลือความเร็วระดับ 86 กม./ชม. ซึ่งจะมีระยะเบรกประมาณ 263 เมตร โดยนักแข่งจะต้องกดลงบนคันเบรกเทียบเท่ากับน้ำหนัก 7.6 กก. ความยากรองลงมาก็คือการเผชิญกับแรงฉุดระดับ 1.4G จากจังหวะการเบรกนั่นก็ คือ โค้งที่ 5 ซึ่งมีจังหวะการเบรก 4.9 วินาที ที่จะลดความเร็วจาก 270 กม./ชม. ลงมาเหลือ 76 กม./ชม.บนระยะเบรก 222 เมตร ที่ซึ่งนักแข่งจะต้องออกแรงกดเทียบเท่าน้ำหนัก 7.9 กก.ลงบนคันเบรก







นอกจากนี้ก็ยังมีแรงในระดับ 1.4G จากการเบรก เช่นเดียวกันอีกสองโค้งก็คือ โค้ง3 ที่นักแข่งจะต้องออกแรงกดลงบนคันเบรกเทียบเท่าน้ำหนัก 7.4 กก.เพื่อลดความเร็วจาก 271 กม./ชม.ลงมาเหลือ 94 กม./ชม.ในเวลา 4.4 วินาที กับระยะทางเบรก 211 เมตร และอีกโค้งก็คือ โค้งที่ 1 ที่จะต้องลดความเร็ว จาก 279 กม./ชม.ลงมาเหลือ 85 กม./ชม. ในเวลา 5.3 วินาที กับระยะเบรก 250 เมตร โดยในโค้งนี้นักแข่งจะออกแรงกดลงบนคันเบรกเทียบเท่ากับน้ำหนัก 6.1 กก.




 
และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ทางเว๊ปไซด์โมโตไบค์เวิร์ลด์แม็กดอทคอมได้รับมาจาก Brembo ที่จะนำมาบอกกล่าวให้แฟนๆได้รู้ถึงอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของเกม MotoGP สนามถัดไปในสัปดาห์นี้ที่ประเทศญี่ปุ่น ที่จะทำการแข่งขันในวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคมนี้ และวันนี้เป็นการลงทำการซ้อมในวันแรกเราพาไปชมภาพและผลการซ้อมทั้งสองFPกัน









UIP : 568 | Page View : 589