​พรีวิวก่อนเกมMotoGPสนาม16ที่ Australian GP

สำหรับสองฤดูกาลที่ผ่านมาบนแทร็ค Phillip Island นั้น ผลงานบนโพเดี้ยมจาก 2015MotoGP คือ Marc Marquez-Jorge Lorenzo-Andrea Iannone และจาก 2016 MotoGP คือ Cal Crutchlow-Valentino Rossi-Marc Marquez ขณะที่ในเกม 2017MotoGP ที่กำลังจะมาถึงในสุดสัปดาห์นี้ที่ Philip Island นี้ แน่นอนว่า ไฮไลท์ถูกจับตาไปที่ ช่องห่าง 11 แต้ม ระหว่าง Marc Marquez กับ Andrea Dovizioso ที่ดูเหมือนว่าสองปีที่ผ่านมานั้น Marc สามารถจบเกมที่นี่ด้วยตำแหน่งบนโพเดี้ยม ขณะที่ Dovizioso นั้น ทำได้เพียงอันดับที่ 13 จากทั้งสองฤดูกาลที่ผ่านมา และที่น่าสนใจก็คือ รถแข่ง Yamaha สามารถยืนระยะทำผลงานบนโพเดี้ยมได้โดยตลอดที่สนามแห่งนี้ และที่สำคัญคือ สภาพอากาศและอุณหภูมิบนพื้นแทร็คจะเป็นเช่นไร ซึ่งที่ผ่านมาหลายครั้ง สภาพแวดล้อมของสนามแข่ง Phillip Island สร้างปัญหาให้กับ “การเลือกยาง” ของนักแข่งอย่างยิ่ง ต้องลุ้นกันว่า สนามที่ 16ของ 2017MotoGP ในสุดสัปดาห์นี้”จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”





สำหรับสนาม Phillip Islandแห่งนี้เริ่มเปิดใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 1956 และได้เริ่มใช้รองรับการแข่งขัน WGP หรือ MotoGP ในระดับพรีเมียร์คลาสอย่างรุ่น 500ซี.ซี.ตั้งแต่ปี 1989 รวมทั้งเริ่มใช้แข่งขัน WorldSuperbike ตั้งแต่ปี 1990 โดยสนามแห่งนี้ห่างจาก Melbourne ประมาณ 140 ก.ม.จากข้อมูลบันทึกไว้ว่าสภาพอากาศโดยรวมอากาศจะไม่เกิน 15องศา โดยในปีที่แล้วอุณหภูมิของอากาศอยู่ที่ 13 องศา โดยพื้นฐานแล้วระบบเบรกจะมีโอกาสใช้จานดิสก์เบรกแบบคาร์บอนเป็นหลัก ยกเว้นถ้ามีฝนตกก็จะปฏิบัติเช่นสนามอื่นๆคือเปลี่ยนเป็นดิสก์เหล็กแทน แต่จากข้อมูลของรถแข่ง Marc Marquez ในเกมที่ Misano ที่ผ่านมา ทางBrembo แจ้งว่า สามารถที่จะใช้ ดิสก์คาร์บอนได้โดยไม่มีผลกระทบใดๆต่อประสิทธิภาพของการเบรก  สำหรับสนามแข่งแห่งนี้จากค่าเรทตัวเลขของการใช้เบรก 1-5 จะพบว่า Brembo จัดเลเวลไว้ที่ตัวเลข 1 ซึ่งถือว่าเป็นสนามที่มีความต้องการใช้เบรกต่ำที่สุดโดยอีก17สนามของรายการ MotoGP ไม่มีที่ใดมีเลเวลเท่ากับสนามแห่งนี้เลย





จากทั้งสิ้น 12 โค้งจะมีความต้องการใช้เบรกอยู่ทั้งสิ้น 6 โค้ง ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับสนามอื่นๆ โดยสนามที่มีความต้องการใช้เบรกน้อยก็คือที่ Sachenring กับ Spielbergring ที่เยอรมันและออสเตรีย ที่ต่างก็เพียง 7จุดเท่านั้น สำหรับค่าเฉลี่ยของสนาม Phillip Island ในแต่ละรอบสนามนั้นจะใช้เวลาในการเบรกทั้งสิ้น 22 วินาที เมื่อคิดตลอดการแข่งขันจะคำนวณเป็น 20% ของการแข่งขันทั้งหมด ที่นักแข่งจะต้องใช้ในการเบรก โดยจะมี3จาก6โค้งที่เกิดแรงในจังหวะการเบรกถึงหรือใกล้เคียง 1.2G จากจำนวน27รอบการแข่งขันของ MotoGP นักแข่งจะต้องใช้แรงกดลงคันเบรกเทียบได้กับน้ำหนักเกือบ 7.3 ตัน โดยมีสองโค้งที่มีระดับความยากในการใช้เบรกระดับกลางหรือมีเดี้ยมเพียงสองโค้ง ในขณะที่อีกสี่โค้งนั้นมีความยากในเลเวลการใช้เบรกเพียงเล็กน้อย สำหรับสามโค้งที่มีเลเวลการใช้เบรกในระดับมีเดี้ยมมีรายละเอียดดังนี้

โค้งที่ 1 : ความเร็วทะยานเข้าสู่โค้ง 341 (Km/h)ความเร็วสุดท้าย  189 (Km/h) ระยะทางเบรก231 (m)เวลาในการเบรก  3.3 (sec) แรงที่กดลงบนคันเบรกเทียบเท่าได้กับน้ำหนัก  4.9 (Kg) เกิดแรงระดับ 1.5G

โค้งที่ 2 :  ความเร็วทะยานเข้าสู่โค้ง 216 (Km/h) ความเร็วสุดท้าย  124 (Km/h) ระยะทางเบรก 149 (m) เวลาในการเบรก  3.3 (sec) แรงที่กดลงบนคันเบรกเทียบเท่าได้กับน้ำหนัก 4.1 (Kg) เกิดแรงระดับ 1.1G

โค้งที่ 4 :  ความเร็วทะยานสู่โค้ง 221 (Km/h) ความเร็วสุดท้าย  70 (Km/h) ระยะทางเบรก  178 (m) เวลาในการเบรก 4.5 (sec) แรงกดลงบนคันเบรกเที่ยวเท่าได้กับน้ำหนัก 5.1 (Kg) เกิดแรงในระดับ 1.1G  

จาก5ครั้งหลังสุดที่ Phillip Island แห่งนี้ ยังไม่เคยมีนักแข่งชนะซ้ำหน้ากัน ซึ่งผู้ชนะห้ารายหลังสุดที่นี่คือ Casey Stoner , Jorge Lorenzo , Valentino Rossi , Marc Marquez , และ Cal Crutchlow และหากเป็นเช่นสถิติห้าครั้งหลังสุด จึงน่าสนใจว่า ทั้ง Andrea Dovizioso , Maverick Vinales และ Dani Pedrosa ที่เคยคว้าชัยในระหว่างฤดูกาลนี้ จะสามารถประเดิมคว้าชัยใน AustralianGP ปีนี้ได้หรือไม่ 



UIP : 473 | Page View : 499