ลุ้นเส้นทางสู่แชมป์ ของสามนักแข่ง AD04-MM93-MV25 กับเกมMotoGPที่ Misano “ในเกมที่ไร้สีสันอย่างThe Doctor”

สังเวียนการชิงชัยนัดต่อไปของ MotoGP จะเริ่มต้นเส้นทางการลุ้นแชมป์กันที่ Misano World Circuit Marco Simoncelli ใน San marino ที่อยู่ติดกับชายฝั่ง Rimini ที่ติดกับทะเล Adriatic Sea ซึ่งแต่เดิมสนามแห่งนี้รู้จักกันในชื่อ Misano speedway ที่ออกแบบขึ้นมาตั้งแต่ปี 1969 ก่อนที่จะได้รับการปรับเปลี่ยนในส่วนต่างๆอย่างเต็มรูปแบบตามที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ในปี 2008 ที่สนามแข่งมีความยาว ต่อรอบสนาม 4,226 ม. และหลังจากนั้นได้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่ในปี2012 ด้วยการใส่ชื่อนักแข่งชาวอิตาเลี่ยนอย่าง Marco Simoncelli เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชื่อสนามแข่ง
 
สำหรับสนามแข่งแห่งนี้แม้ว่าทั้ง WorldSBK และ MotoGP จะใช้เลย์เอ้าท์สนามแบบเดียวกัน แต่การใช้เบรกนั้นแตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะใน Curvone หรือ โค้งที่11 นั้น รถแข่งโปรดักชั่นจาก WorldSBKนั้นสามารถที่จะทะยานเข้าโค้งได้อย่างเต็มคันเร่ง แต่สำหรับรถแข่งโปรโตไทพ์ในMotoGP นั้น นักแข่งจำเป็นที่จะต้องเตะเบรก(ประมาณ1.3วินาที) เพื่อลดความเร็วที่ใช้อยู่นั้นลงมาประมาณ 40 กม./ชม. โดยปกติแล้วระยะเบรกของรถแข่ง MotoGP จะสั้นกว่า เพราะส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการใช้ carbon brakes ที่เป็นของต้องห้ามในกติกาของ WorldSBK  และจากเรท 1-5 ของเลเวลในการใช้เบรกในสนามแห่งนี้ อยู่ที่เลข 3 ซึ่งถือว่าเป็นสนามที่มีความยากในการใช้เบรกระดับเดียวกับ สนามValencia ในสเปน
 
จากทั้งหมด 16 โค้งของสนาม Misano จะมีความต้องการใช้เบรกทั้งสิ้น 9  โค้ง โดยที่แต่ละโค้งนั้นจะมีลักษณะการใช้เบรกที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก กล่าวคือ มีความต้องการใช้เบรกมากถึง 5 วินาที จนถึงต่ำสุดหนึ่งวินาที หรือบางโค้งก็ต้องการเวลาการใช้เบรกสามวินาที เมื่อคำนวณจากความต้องการใช้เบรกในหนึ่งรอบสนามแล้วจะพบว่า นักแข่งจะใช้เวลาในการเบรกทั้งสิ้น ประมาณ 30 วินาที และจากจำนวนรอบการแข่งขันทั้งหมด 27 รอบ ร่วมแล้วนักแข่งจะใช้เวลาทั้งหมดอย่างน้อย 14 นาที กับการใช้เบรกในระหว่างแข่งขันตั้งแต่ออกสตาร์ทจนผ่านเส้นชัย



ความแตกต่างระหว่าง รถแข่ง WorldSBKกับ MotoGP หากจะเทียบกันจากโค้ง Quercia หรือ โค้งแปด จากข้อมูลจะเห็นว่ารถแข่ง MotoGP จะทะยานมาสู่โค้งด้วยความเร็ว 294กม./ชม. ก่อนที่จะต้องลดความเร็วให้เหลือ 79 กม./ชม. ในระยะเวลา 4.8 วินาที บนระยะเบรก 222 ม. ขณะที่ทางฝั่งรถ WorldSBK นั้น จะทะยานมาด้วยความเร็วที่น้อยกว่าหรือช้ากว่า ประมาณ 24 กม./ชม. แต่ต้องการระยะเบรกที่มากกว่าอีกนิดหน่อยและใช้เวลาในการเบรกประมาณ 4.9 วินาที ซึ่งความแตกต่างนั้นจะเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นคือแรงที่เกิดจากการเบรกของการลดความเร็วของรถแข่งMotoGP นั้นจะเกิดแรงระดับ 1.5G ขณะที่รถแข่ง WorldSBK จะเกิดแรง 1.3G ขณะที่นักแข่ง MotoGP ต้องกดแรงลงมือเบรกด้วยแรงเทียบเท่าน้ำหนัก 6 กก. ขณะที่นักแข่ง WorldSBK นั้นต้องใช้แรงกดเทียบเท่าน้ำหนัก 5.3 กก. โดยภาพรวมแล้วจากทั้ง 9 โค้งที่มีความต้องการใช้เบรกในแทร็คแห่งนี้นั้น มี 1 โค้งที่มีความยากมาก ตามด้วย สี่โค้งที่มีความยากระดับปานกลาง และ อีกสี่โค้งที่มีความยากในการเบรกระดับสบายๆ แน่นอนว่าโค้งที่ 8 คือโค้งที่มีระดับความยากสุดตามที่กล่าวไปแล้ว เราจะมาดูรายละเอียดกันว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งอีกสี่โค้งระดับปานกลาง
โค้งที่ 8 : ทะยานมาด้วยความเร็ว 294 กม./ชม.ความเร็วสุดท้าย 79 กม./ชม.ระยะทางเบรก 222 ม.เวลาในการเบรก 4.8 วินาที กำลังที่กดลงมือเบรกเทียบเท่าน้ำหนัก6 กก. เกิดแรงระดับ 1.5G
โค้งที่ 1 : ทะยานมาด้วยความเร็ว 271 กม./ชม. ความเร็วสุดท้าย 115 กก./ชม. ระยะทางเบรก 206 ม.เวลาในการเบรก 3.9 วินาที กำลังที่กดลงบนมือเบรกเทียบเท่าน้ำหนัก 5.8 กก. เกิดแรงระดับ 1.4G
โค้งที่ 16 : ทะยานมาด้วยความเร็ว 197 กม./ชม. ความเร็วสุดท้าย 104 กม./ชม. ระยะทางเบรก 113 ม. เวลาในการเบรก 2.7 วินาที กำลังที่กดลงบนมือเบรกเทียบเท่าน้ำหนัก 6.1 กก. เกิดแรง 1.3G
โค้งที่ 4 : ทะยานมาด้วยความเร็ว 202 กม./ชม. ความเร็วสุดท้าย 70 กม./ชม. ระยะทางเบรก 137 กม./ชม. เวลาในการเบรก 3.7 วินาที กำลังที่กดลงบนมือเบรกเทียบเท่าน้ำหนัก 5.7 กก. เกิดแรง 1.2G
โค้งที่ 10 : ทะยานมาด้วยความเร็ว 239 กม./ชม. ความเร็วสุดท้าย 71 กม./ชม. ระยะทางเบรก 191 ม. เวลาในการเบรก 4.8 วินาที กำลังที่กดลงบนมือเบรกเทียบเท่าน้ำหนัก 4.6 กก. เกิดแรงระดับ 1.2G
 
นับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา นักแข่งที่ใช้เบรก Brembo สามารถคว้าชัยชนะบนแทร็คแห่งนี้ได้ทุกปี แต่รถแข่ง Ducati ยังไม่เคยชนะได้ตั้งแต่ปี 2007 ในสนามแห่งนี้ และนักแข่งอย่าง Andrea Dovizioso กับ Maverick Vinales ก็ยังไม่เคยชนะในเกมที่ Misano ได้เช่นกัน ผลงานหลังสุดในสนามแห่งนี้ จะพบว่า Valentino Rossi กับ Jorge Lorenzo ต่างเคยชนะได้คนละสามครั้ง , Dani Pedrosa ชนะได้สองครั้ง ซึ่งห้าอันดับแรกในฤดูกาล 2016 ที่ผ่านมานั้นมีผลงานดังนี้คือ Dani Pedrosa – Valentino Rossi –Jorge Lorenzo(ขี่ให้Yamaha) –Marc Marquez และ Maverick Vinales (ขี่ให้Suzuki)ตามลำดับ แต่ที่น่าเสียดายในฤดูกาลนี้คือ Valentino Rossi จะยังคงต้องพักรักษาตัวจากการผ่าตัด ดังนั้น ไฮไลท์จึงอยู่ที่ สามนักแข่งอย่าง Andrea Dovizioso-Marc Marquez-Maverick Vinales ที่ลุ้นกันว่า ใครจะทำผลงานได้ดีกว่ากัน สำหรับโอกาส ในการลุ้นแชมป์ปีนี้









UIP : 408 | Page View : 416