​เตรียมเริ่มครึ่งฤดูกาลหลังด้วยเกม Czech MotoGP ใครจะมาวิน

สังเวียนการชิงชัยสนามที่ 10 ของฤดูกาล ที่จะเป็นการกลับมาเข้าสู่สงครามความเร็วในครึ่งฤดูกาลหลังของ 2017MotoGP ซึ่งจะประเดิมด้วยเกมบนแทร็ค Brno หรือ Automotodrom Brno ในสาธารณะเชค ที่ซึ่งเป็นสังเวียนแรกของการประเดิมคว้าชัยชนะครั้งแรกของ Valentino Rossi ในการแข่งขันระดับ World Grand Prix เมื่อปี 1996  และผลงานในชีวิตการแข่งขันที่ผ่านมาใน Brno นี้ ปรากฏว่า Rossi สามารถ คว้าชัยไว้ได้ 7 ครั้งในขณะที่ Marc Marquez นั้นเคยชนะไว้ที่นี่ 2 ครั้ง โดยครั้งล่าสุด คือ ในปี 2013 และ จากฟอร์มในเกมสนามที่ 8 บนแทร็ค TT Circuit Assen ของ Valentino Rossi นั้น เป็นไปได้ไหมว่า ในเกมประเดิมนัดแรกของครึ่งฤดูกาลหลังบนแทร็ค Brno ที่ซึ่งเขาเคยคว้าชัยชนะครั้งแรกของชีวิตนักแข่ง WGP หรือ MotoGP ด้วยการประเดิมคว้าชัยการชิงชัย จากรุ่น รุ่น 125 ซี.ซี.เมื่อ 18 สิงหาคม 1996 ก่อนที่จะเดินหน้าคว้าชัยในแทร็คแห่งนี้ได้รวมเจ็ดครั้งนั้น จะกลับมาผงาดบนโพเดี้ยมสูงสุดที่สาธารณะเชคในเกมที่กำลังจะมาถึงช่วงสุดสัปดาห์นี้



ด้วยความยาวต่อรอบสนาม 5,403 เมตร ที่จะชิงชัยกันทั้งสิ้น 22 รอบสนาม โดยในแต่ละรอบนั้น ข้อมูลจาก Brembo แจ้งว่า นักแข่งจะใช้เบรกในแต่ละรอบทั้งสิ้นรวม 11 ครั้ง จากทั้งสิ้น 14 โค้งของสนามแห่งนี้ จะแบ่งเป็นโค้งขวา 8 โค้ง สภาพพื้นที่ของสนามแข่งมีความต่างระดับกันตั้งแต่จุดที่ต่ำสุด คือ 1,233 ฟุต จากระดับน้ำทะเล กับ จุดที่สูงที่สุด คือ 1,476 ฟุตจากระดับน้ำทะเล และด้วยสภาพพื้นที่และเลย์เอ้าท์ของสนามแข่งแห่งนี้ การจัดเรทระดับความยากง่ายของการใช้เบรก จากเรทตัวเลข 1-5 โดยBrembo ได้ให้ขีดระดับการใช้เบรกอยู่ที่ เรท4 ซึ่งมีขีดระดับของการใช้เบรกในระดับ HARD ซึ่งอยู่ในเลเวลเดียวกับสนามแข่งอย่าง Jerez และ Aragon ในประเทศสเปน
 
แต่ก็มีตัวแปรที่น่าจับตาบนแทร็คแห่งนี้ นั่นก็ คือ สภาพอากาศ ซึ่งในระหว่างฤดูกาล 2014 กับ 2015 นั้น สภาพอุณหภูมิพื้นแทร็คอยู่ที่ระดับ 22องศาเซลเซียส , แต่ก็เคยทำสถิติอุณหภูมิบนพื้นแทร็คสูงที่สุดคือ 40 องศาเซลเซียส ในปี 2006 ขณะที่ในฤดูกาล 2016 ที่ผ่านมานั้น เนื่องจากมีฝนตกลงมาระหว่างแข่งขัน จนส่งผลให้อุณหภูมิพื้นแทร็คลงลงต่ำกว่า 18 องศาเซลเซียส ดังนั้นในสุดสัปดาห์นี้สิ่งที่นักแข่งทุกคนจะต้องระวังก็คือ “อุณหภูมิพื้นแทร็คจะเป็นเช่นไร” 



จากหนึ่งรอบสนามแข่งของ Brno จากการใช้เบรกทั้ง 11 ครั้ง ต่อรอบสนามนี้ จะคำนวณเวลารวมเป็นเวลาที่ใช้ในการเบรก คือ 31 วินาที และเมื่อมาพิจารณาทีละจุดทั้ง 11 จุด จะมี 1 โค้งที่อยู่ในเกณฑ์ ยาก , และอีก 6 โค้ง อยู่ในเกณฑ์ ปานกลาง และ อีก 4 โค้ง คือ เบาหรือ ไม่หนักหนามากเท่าที่ควร สำหรับโค้งที่มีความท้าทายที่สุด ในการใช้เบรกนั่นก็คือ Kevin Schwantz corner หรือ โค้งที่ 10 ที่ซึ่งรถแข่ง MotoGP จะทะยานมาบนทางตรงยาวด้วยความเร็วในระดับ 280 ก.ม./ช.ม.ก่อนที่จะลดความเร็วสุดท้ายให้เหลือ 100 ก.ม./ช.ม. บนระยะเบรก 210 เมตร ในเวลา 4.2 วินาที ที่ซึ่งจะเกิดแรงดึงระดับ 1.5G โดยจะใช้แรงกดลงบนมือเบรกเทียบเท่ากับน้ำหนัก 6.2 ก.ก.



โค้งที่มีความยากรองลงมาก็คือ โค้งที่ 1 กับ โค้งที่ 3 ที่มีพื้นที่เบรกเพิ่มมากขึ้น โดยใน โค้งที่ 1 นั้น มีระยะเบรก 226 เมตร ที่จะลดความเร็ว จาก 305 ก.ม./ช.ม. ลงมาเหลือความเร็วสุดท้าย ที่ 142 ก.ม./ช.ม. ในเวลา 3.8  วินาที ซึ่งจะเกิดแรง 1.5G โดยนักแข่งจะใช้แรงกดบนมือเบรกเทียบเท่ากับ น้ำหนัก 5.7 ก.ก.
ส่วนโค้งที่ 3 นั้น จะมีระยะเบรก 231 ม. ที่จะต้องลดความเร็วจาก 292 ก.ม./ช.ม. เหลือความเร็วสุดท้ายที่ 108 ก.ม./ช.ม. ในเวลา 4.3 วินาที ซึ่งจะเกิดแรง 1.4G โดยนักแข่งจะต้องกดแรงลงบนมือเบรกเทียบเท่ากับน้ำหนัก 5.8 ก.ก.
 


ติดตามลุ้นกันว่า “ใครจะเริ่มต้นครึ่งฤดูกาลหลังได้ดีที่สุด” กับ เกมบนแทร็ค Brno ในสาธารณะเชค ที่ซึ่งเป็นการลงสนามเป็นปีที่ 22 ของ Valentino Rossi อีกทั้งเป็นหนึ่งในสองสนามแข่งเช่นเดียวกับเจเรซ ที่ซึ่ง Rossi ได้ลงแข่งขันติดต่อกันทุกปี ในชีวิตนักแข่ง GP , Maverick Vinales ที่ขยับขึ้นมารั้งอันดับสองหลังจากที่จบเกมสนามสุดท้ายของครึ่งฤดูกาลแรกที่เยอรมันด้วยอันดับสี่ จะสามารถกลับมาเค้นฟอร์มสุดยอดเช่นช่วงต้นฤดูกาลได้หรือไม่ , ในขณะที่ Marc Marquez ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตารางคะแนนสะสมคนล่าสุดหลังจากคว้าชัยในเกมที่เยอรมัน จะยังคงทำผลงานขึ้นโพเดี้ยมเพื่อรั้งตำแหน่งผู้นำต่อไปได้อีกหรือไม่ เช่นเดียวกับที่ Andrea Dovizioso หลังจากเบียดแย่งตำแหน่งจ่าฝูงจาก Vinales ไปครอง ก็ต้องพลาดเสียตำแหน่งผู้นำหลังจากจบอันดับแปดในเยอรมัน ถือว่าเป็นนักแข่งที่ทำคะแนนสะสมมากที่สุดในกลุ่มนักแข่งDucati ที่ผ่านไป 9 สนามในขณะนี้มีแต็มรวม 123 คะแนน ซึ่งในอดีต Casey Stoner เคยทำได้ถึง 148 คะแนน ในปี 2009 หลังผ่านไปเก้าสนามเท่ากัน





และที่น่าสนใจคือสถิตินับจากเปลี่ยนการแข่งขันมาเป็น MotoGP ในปี2002 ผู้ผลิตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด คือ Honda สามารถชนะได้ถึง 7 ครั้งโดยรวมกับที่ Cal Crutchlow ทำได้ในฤดูกาล 2016 ที่ผ่านมา ในขณะที่Yamaha สามารถทำได้ 6  ครั้ง แต่หกปีหลังสุดนั้นทำได้เพียงแค่ครั้งเดียว ด้วยผลงานของ Jorge Lorenzo ในปี 2015  ส่วน Ducati เคยชนะได้สองครั้งในยุคของ MotoGP โดย Loris Capirossi ปี 2006 กับ Casey Stoner ปี 2007 และมีนักแข่งสองคนที่ทำสถิติเป็นผู้ชนะมากที่สุด 7 ครั้ง ในเกมระดับ World Grand Prix ทุกรุ่นก็คือ Max Biaggi (4 x 250cc, 2 x 500cc, 1 x MotoGP™) กับ Valentino Rossi (1x 125cc, 1 x 250cc, 1 x 500cc, 4 x MotoGP™)



UIP : 519 | Page View : 530