​11 เรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับ นักแข่งMotoGP

Column of the Month เรามีเรื่องราวสาระที่น่าสนใจเกี่ยวกับวงการรถจักรยานยนต์มาฝากแฟนๆในเว็ปไซต์ เริ่มต้นคอลัมน์ในวันนี้ เราขอนำเสนอ 11 เรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเป็นนักแข่งMotoGP ว่าการเป็นนักแข่งระดับโลกนี้จะต้องผ่านอะไรและเรียนรู้อะไรในช่วงของการ่วมลงทำการแข่งขัน ซึ่งวันนี้เราขอนำเสนอเรื่องราวที่สื่ออย่าง The Telegraph ของอังกฤษ ได้รวบรวมถามตอบจาก Bradley Smith นักแข่งชาวอังกฤษจากทีมมอสเตอร์ ยามาฮ่า เทค 3 ผู้ที่ซึ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์ยามาฮ่า M-SLAZ  กับการนำมาเผยแพร่เกี่ยวกับเรื่องราว 11 อย่าง ที่น่ารู้เกี่ยวกับการเป็นนักแข่ง MotoGP ซึ่งแน่นอนล่ะบางอย่าง สายมอเตอร์สปอร์ตหลายๆคนก็คงจะรู้อยู่แล้ว แต่บางส่วนก็อาจจะยังไม่รู้ วันนี้ทีมงานนิตยสารจักรยานยนต์เวิร์ลด์ เลยเอามาฝากกันแฟนๆMotoGP ให้ทราบกัน
 
1.นักแข่งใน MotoGP จะใช้ความเร็วในการขับขี่รถแข่งเฉลี่ยเกินกว่า 100mph ระหว่างการแข่งขัน ซึ่ง Smith ได้บอกว่าเขาทำความเร็วสุงสุดกับ YZR-M1 ของทีม Tech3 ด้วยความเร็วสูงสุด 215 mph  แต่เมื่อมีการเปิดบิดคันเร่งในจังหวะต่างๆของการแข่งขันแล้วโดยเฉลี่ยระหว่างการแข่งขัน จะใช้ความเร็วเฉลี่ยประมาณ  110 mph
“ รถแข่งที่ผมขี่มีกำลังถึง 250แรงม้า มากกว่ารถยนต์ที่ผมใช้ซะอีก กับสองล้อของรถแข่งMotoGP ในเกียร์ห้า คุณสามารถเร่ง 0-60mph ในเวลาเพียง 2.6 วินาทีเท่านั้น”


 
2. รถแข่งจะมีน้ำหนักเป็นสองเท่าของน้ำหนักเฉลี่ยผู้ชายตัวใหญ่ ดังนั้นเมื่อจะต้องมาควบคุมรถแข่งMotoGP คุณจะต้อง แข็งแรงของร่างกายให้ถึง
“ รถแข่งของผมหนักประมาณ 160 ก.ก. ซึ่งถือว่าหนักพอสมควรเมื่อต้องขี่มันวนอยู่ในสนามแข่ง คุณต้องมีกำลังมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะควบคุมมัน ”
นอกจากการฝึกซ้อมในสนามแข่งแล้ว Smith จะต้องเข้ายิมเพื่อฝึกสมรรถนะร่างกายที่เรียกว่า ”อย่างจริงจัง”  โดยเฉพาะในส่วนของแขน , ไหล่ และลำตัว เพื่อให้มีความแข็งแกร่งและทนทาน เพื่อที่จะรับ”แรง” จากการควบคุมรถแข่งที่มีน้ำหนักมากในขณะที่ใช้ความเร็วสูงเช่นนั้น
 “การแข่งรถอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ แต่สำหรับผมบอกได้เลยว่า มันเป็นงานที่ต้องจริงจังและซีเรียสอย่างยิ่ง ที่จะต้องดูแลร่างกายให้อยู่ในสภาพที่ฟิตสมบูรณ์”
 
3.นักแข่งจะสูญเสียน้ำ(เหงื่อ)มากถึง 2 ลิตร ระหว่างการแข่งขัน เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการแข่งรถจักรยานยนต์ที่นักแข่งจำเป็นจะต้องมีความแข็งแกร่งของสภาพร่างกายอย่างมาก เพราะด้วยสภาพการแข่งขัน โดยเฉพาะในเกมระดับ MotoGP ด้วยแล้ว จะมีผลอย่างยิ่งต่อความเมื่อยล้า อ่อนเพลียของร่างกายระหว่างที่แข่งขัน มากกว่ากีฬาชนิดอื่นๆ
“ อาจจะเรียกได้ว่ามันเป็นความเลวร้ายอย่างยิ่งเมื่อต้องลงแข่งในสภาพอากาศที่ร้อน อย่างอากาศร้อนระดับ 36องศาที่มาเลเซีย หรือ ความชื้นระดับ70เปอร์เซ็นต์ที่ญี่ปุ่น มันมีผลโดยตรงที่ก่อให้เกิดความร้อนภายในร่างกาย รวมทั้งยังก่อให้เกิดความตึงเครียดยิ่งขึ้นกับกล้ามเนื้อในขณะที่แข่งขันอยู่นั้น บ่อยครั้งที่หลังแข่งขันแล้วพบว่าเสียเหงื่อมากถึงสองลิตรในเวลาเพียง 45 นาที”


 
4.ขณะอยู่ในโค้งหน้าสัมผัสยางกับพื้นผิวน้อยมาก ทั้งยางเดิมก่อนหน้านี้ของ Bridgestone ขนาด 16.5 นิ้ว และ ยางปัจจุบันของ Michelin ขนาด 17 นิ้ว ต่างก็ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้มีความหนึบ ที่จะสามารถยึดเกาะได้ดีในขณะแข่งขันโดยเฉพาะขณะอยู่ในโค้ง
“ ปกติทั่วไปในโค้งเราจะเลี้ยวทำมุม 55 องศาดังนั้นพื้นที่ของหน้าสัมผัสยางจึงมีไม่มากนัก ต้องบอกว่าด้วยความเร็วที่ใช้กันนั้น ประสิทธิภาพของยางนั้นมันสุดยอดมาก แน่นอนว่ามันไม่ใช่เนื้อยางธรรมชาติแต่เป็นกระบวนการทางเคมีที่พัฒนามาเพื่อสร้างส่วนผสมของเนื้อยางให้มีคุณสมบัติที่ดีสำหรับการแข่งขันโดยเฉพาะ มันคือความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง อีกทั้งในขณะฝนตกเราก็สามารถใช้ยางแข่งขันด้วยความเร็วเฉลี่ยต่อรอบสนามในระดับ 95mph อย่างสบายๆ แต่ทว่ายางที่เราใช้กันนี้ ถ้าตีเป็นมูลค่าของเงินถือว่าไม่ถูกเลย เฉลี่ยแล้วมันมีมูลค่าประมาณ 1,000 ยูโร ต่อคู่  ”


 
5.  หนังจิงโจ้ ช่วยให้มีความปลอดภัยในการแข่งขัน มันซับแรงและลดความรุนแรงได้อย่างยอดเยี่ยม
“ ชุดแข่งของผมผลิตจากหนังจิงโจ้ เพราะมันเป็นหนังที่มีคุณสมบัติในการยืดหยุ่น และให้ตัวได้ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ มันเปรียบได้กับผิวหนังชั้นที่สองของเรา และคุณสมบัติของมันช่วยให้การเคลื่อนไหวตัวของผมขณะอยู่บนรถแข่งทำได้โดยง่าย ด้วยความหนาเพียง 3-5 ม.ม.-ของหนังจิงโจ้นี้ มันสามารถปกป้องตัวผมได้อย่างยอดเยี่ยม  ”
 
6.นักแข่งสวมชุดที่ป้องกันมากกว่าชุดเกราะของ batman โดยปกติตามข้อบังคับของการแข่งขัน motoGP นักแข่งจะต้องมีชุดหนังที่ให้ความปลอดภัยสูงสุดขณะที่ล้มด้วยความเร็วสูง จึงมีการกำหนดสเปคและกระบวนการทดสอบสำหรับชุดแข่งและอุปกรณ์ประเภทไรดิ้งเกียร์ที่มีมาตรฐานสูงมาก
“ มันเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง ในการที่จะปกป้อง ไหล่ ศอก แขน ข้อมือ ฝ่ามือข้อเท้า แข้ง เข่า ศรีษะ กล่าวคือ ทุกๆส่วนของร่างกายของนักแข่งจะต้องได้รับการป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาระหว่างแข่งขัน ซึ่งยังรวมถึงแรงกระแทกที่อาจจะเกิดกับ หน้าอก ซี่โครง กระดูกสันหลัง สะโพก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีแผ่นป้องกันรองรับติดตั้งไว้ในชุดแข่งเพื่อลดความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น ซึ่งปัจจุบันผู้ผลิตเรซซิ่งสูท ได้มีการพัฒนาระบบ air back ติดตั้งมาใช้เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุที่ล้มด้วยความเร็วสูง  ”


 
7.รถแข่ง ในปัจจุบันอาจเปรียบได้กับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่
“ รถแข่งของผม ไม่สิ ในทีมของผม มีความต้องการข้อมูลต่างๆในระหว่างแข่งขันหรือในระหว่างการลงวิ่งในสนามแต่ละครั้งนั้น มากกว่า 500 ข้อมูล โดยจะเก็บข้อมูลผ่านทางเซ็นเซอร์และอุปกรณ์ต่างๆที่ติดตั้งเข้าไปบนตัวรถแข่ง และในระหว่างแข่งขันนั้น ชุดเรือนไมล์ก็แตกต่างจากรถจักรยานยนต์ทั่วไป ที่ปกติจะมีความต้องการข้อมูลเรื่องความเร็ว ระยะทาง หรือ ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง สำหรับรถแข่ง MotoGP แล้วนั้น บนชุดเรือนไมล์ก็คือ จอมอนิเตอร์ที่จะบอกข้อมูลแทบทุกอย่างที่มีความจำเป็นสำหรับการแข่งขัน นี่ยังไม่รวมข้อมูลจากชุดควบคุมระบบการทำงานเครื่องยนต์ที่จะเก็บข้อมูลต่างไว้ให้ทีมงานได้นำออกไปใช้ในการวิเคราะห์ด้านต่างๆที่มีความสำคัญต่อการปรับเซ็ทและพัฒนารถแข่ง สำหรับผมแล้วบางครั้งก็รู้สึกว่ามันมีข้อมุลมากเกินไปหรือเปล่า จากที่ปกติในการแข่งขันทั่วไป เพียงแค่ความเร็วต่อรอบ และ เกียร์ที่ใช้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ทว่าด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ผมสามารถที่จะรู้ได้ว่า แต่ละช่วงเวลาที่ผมขี่นั้นเวลาแตกต่างกันในรอบที่ผ่านมามากน้อยแค่ไหน หรือผมสามารถที่จะรู้ได้ว่าจะต้องบวกเพิ่มอีกมากไหม จึงจะสามารถทำเวลาต่อรอบได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ นี่ยังไม่รวมสัญญาณไฟที่คอยกระพริบแจ้งเตือนว่าถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะต้องเปลี่ยนเกียร์ในขณะที่ได้กำลังสูงสุด เป็นต้น  ”


 
8. รถที่ไม่มีเครื่องยนต์ก็มีความสำคัญอย่างมาก(จักรยานออกกำลังกาย)  นักแข่งจำเป็นจะต้องออกกำลังเพื่อพัฒนาในส่วนของ  cardiovascular (การออกกำลังที่เน้นเรื่องของระบบหัวใจและหลอดเลือด) ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อมีส่วนช่วยให้ร่างกายมีสมรรถนะที่ดีในการที่จะควบคุมรถแข่งในเกมระดับ MotoGP
“ ผมมักจะต้องปั่นจักรยานอย่างมากเพื่อรักษาระดับความฟิต เหมือนกับนักแข่งร่วมชาติของผมอย่าง คาล คลัทช์โลว์ ที่มักจะมีโอกาสปั่นจักรยานร่วมกับ mark Cavendish(นักแข่งจักรยานชื่อดังระดับโลก) การปั่นจักรยานเป็นกีฬาที่มีผลกระทบหรือสร้างแรงบีบเค้นกับร่างกายน้อยมาก ดังนั้นมันจึงเป็นการออกกำลังที่น่าจะมีประโยชน์กับนักแข่งรถจักรยานยนต์อย่างมากที่จะคงระดับความฟิตของร่างกายไว้ หากเทียบกับการวิ่งแล้วการวิ่งออกกำลังนั้นมันจะมีแรงกระทบกับกล้ามเนื้อมากกว่า จากการที่ช่วงขาต้องรับแรงกระแทกขณะที่ทิ้งน้ำหนักตัวลงไปดังนั้นคงไม่เหมาะหากจะต้องวิ่งทุกๆวัน แต่โดยปกติแล้วผมจะออกกำลังที่หลากหลายเพื่อคงความฟิต โดยจะสลับกันไปในแต่ละประเภท ซึ่งรวมถึงการ ฝึกซ้อมขี่รถโปรดักชั่น การขี่รถโมโตครอส หรือ การขี่รถวิบากทั่วไป ซึ่งมันช่วยสร้างความสนุกสนานในการออกกำลังกายได้บ้าง แต่การปั่นจักรยานนั้นคือ สิ่งที่ทำได้บ่อยที่สุดสำหรับผมในการที่จะคงระดับความฟิตของร่างกาย โดยที่ไม่ก่อให้เกิดความล้าหรืออ่อนเพลียกับร่างกายหรือกล้ามเนื้อมากเกินไป ”



9.นักแข่ง MotoGP จะใช้เวลารวมถึงครึ่งปีในการเดินทางตระเวนไปสนามแข่งต่างๆ
“ ในหนึ่งฤดูกาลแข่งขันจะใช้เวลาประมาณ 9 เดือน ซึ่งในช่วงนี้นั้นเราทุกคนจะยุ่งกับการเดินทางอย่างมาก หากคิดเป็นจำนวนวันแล้ว เราจะใช้เวลาถึง 180 วัน สำหรับการเดินทางสำหรับแต่ละปี”


 
10.เส้นพาสต้าและข้าว คือ แหล่งพลังงานที่ดีที่สุด
“ มันเป็นเรื่องที่ยากเหมือนกันว่าจะกินอะไรดี ในช่วงก่อนแข่ง เพราะบางครั้งอาจจะทำให้แน่นไป ถ้ากินมากเกิน หรือกินของผิดประเภทที่ย่อยยาก ก็จะทำให้ปวดท้องได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีช่วงเวลาเพียง 45 นาที ก่อนที่จะลงสนามแข่งขัน ดังนั้นนักแข่งแต่ละคนจะต้องมีตัวเลือกอาหารของตนเองไว้ ในช่วงสัปดาห์ของการแข่งขัน ซึ่งผมเองนั้น จะมีข้าวกล้องกับไก่ บางทีก็เป็นทูน่า หรือไม่ก็จะกินพาสต้า ซึ่งปกติแล้วผมจะกินอาหารหลักในมื้อก่อนแข่งประมาณสามชั่วโมง ดังนั้นต้องมั่นใจว่า มันให้พลังงานกับร่างกายได้พอที่จะยืนหยัดในเกมการแข่งขัน ”
 
11.นักแข่ง MotoGP จะต้องมีความทรงจำที่สั้น(ลืมเรื่องที่ไม่จำเป็นได้ง่าย)
“ ผมเป็นหนึ่งในนักแข่งที่ล้มบ่อยในแต่ละฤดูกาล ดังนั้นเมื่อเราล้ม สิ่งหนึ่งที่มีความจำเป็นก็คือ จะต้อง ลืมมันให้หมด เพราะถ้าในสมองยังคงมีเรื่องราวความคิดที่เกี่ยวกับการล้มนั้น มันจะก่อให้เกิดความลังเล และแน่นอนว่าความลังเลนี้เองที่จะส่งผลให้เราไม่สามารถที่จะขี่ได้ดีพอ เพราะ สมองคิดหรือกังวลอยู่กับภาพเดิมๆนั้น ดังนั้นตัวเราจะไม่สามารถรีดประสิทธิภาพสูงสุดออกมาได้ในการแข่งขันนั้นๆ ซึ่งเพียงช่วงเวลาหนึ่งในส่วนพันวินาทีของการแข่งขัน มันสามารถที่จะตัดสินชัยชนะได้ตลอดเวลา สมองจะต้องไม่จดจำความผิดพลาดหรือสิ่งที่ไม่ดีระหว่างแข่งขัน ใจจะต้องไม่ลังเล ”

UIP : 2,104 | Page View : 2,264