​จากธุรกิจยาสูบ...สู่บริษัทค้าน้ำมัน ที่สนับสนุนโมโตจีพี

สำหรับเนื้อหาในสกู๊ปชิ้นนี้ทางกอง บก.จักรยานยนต์เวิลด์เราได้อ้างอิงเรื่องราวมาจากบทความที่อ่านเจอจากต่างประเทศ เอาเป็นว่าประมวลจับใจความมาอย่างละเล็กละน้อย เกี่ยวกับดราม่าเล็กๆในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับคำครหาที่เป็นกระแสกับคำว่า เงินสกปรก ที่นำมาใช้หล่อเลี้ยงหรือขับเคลื่อนในวงการแข่งรถ มันมีมาต่อเนื่อง และ ไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือเรื่องแปลกแต่อย่างใด(ย้ำนะนี่เป็นการจับใจความจากต่างประเทศไม่ได้เจาะจงพาดพิงถึงใครในประเทศ)
 
สำหรับคำว่าเงินสกปรกนี้ หมายรวมถึงแหล่งเงินทุนที่ไม่สามารถระบุที่มาที่ไปได้ชัดเจน หรือกลุ่มธุรกิจสีเทา ซึ่งที่ผ่านมาในอดีต(หมายถึงในฝั่งยุโรป)ทุกคนในวงการแข่งรถจักรยานยนต์จะมุ่งเน้นทุกอย่างเพื่อที่จะทำเพื่อผลประโบชน์ที่ดีที่สุดของตนเองในสนามแข่งขัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นการแข่งขันที่ต่อเนื่องยาวนาน ในแบบแข่งขันเก็บคะแนนสะสม ดังนั้น ส่วนมากจะต้องชิงชัยกันต่อเนื่องซ้ำๆตลอดทั้งฤดูกาล และนั่นหมายถึง จำนวนเงินทุนไม่น้อย ที่จะต้องมี
 
ด้วยเหตุนี้ในช่วงปี 1980 ที่สหราชอาณาจักร ว่ากันว่า ในพิทในทีมต่างๆจะมีรถแข่งจำนวนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการขโมย พูดง่ายๆคือ เกี่ยวข้องกับของโจร จนนำมาซึ่งการตรวจจับตรวจสอบมากขึ้น หรือแม้แต่นักแข่งวัยรุ่น นักแข่งหน้าใหม่จำนวนไม่น้อย ที่อยากโลดแล่นในสังเวียนการแข่งขัน ทำให้พวกเขาไม่มีวิธีการหาทุนเพื่อใช้ในการแข่งขัน นั่นจึงเริ่มต้นด้วยการ ลักขโมย ฉ้อโกง จากคนรอบตัว คนในครอบครัว เพื่อที่จะนำเงินเหล่านั้นมาใช้เป็นทุนการแข่งขันในแต่ละสัปดาห์ เมื่อเริ่มลงลึกมากขึ้น ก็ค่อยขยายช่องทางไปสู่การเกี่ยวข้องกับยาเสพติด บางทีมหรือบางคน มีการแสวงหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่าย ด้วยการรับซูกยาเสพติดมากับอุปกรณ์การแข่งขันระหว่างการเดินทางไปสนามแข่งต่างๆเป็นต้น


 
เรื่องราวนำร่องที่เกิดขึ้นจากการเปิดประเด็นเกี่ยวกับคำว่า เงินสกปรก หรือ dirty money นี้ สืบเนื่องมากจาก ข่าวฮือฮา จากการเซ็นสัญญาหลายล้านยูโรระหว่าง VR46 เพื่อรับการสนับสนุนระยะยาว อย่างน้อยก็ห้าปี จาก ARAMCO ที่เป็นกลุ่มธูรกิจค้าน้ำมันของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย (น่าจะเป็นเจ้าชายองค์ใดองค์หนึ่งในราชวงศ์) แน่นอนว่าทุกภาคส่วนในวงการมอเตอร์สปอร์ตต่างอิจฉากับการเซ็นสัญญาฉบับนี้

แต่ทว่าในอีกโลกหนึ่งของเหล่าคนพิเศษ พวกกลุ่มสิทธิมนุษยชนส่วนหนึ่ง ออกมาเปิดประเด็นว่า ARAMCO เป็นกลุ่มทุนที่น่าสงสัย มีส่วนเกี่ยวพันธ์กับการฆ่าฟันการคุกคามชีวิตผู้บริสุทธิ์มากมาย ด้วยการ สนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพและกำลังรบต่างๆในตะวันออกกลาง จากการจุดประเด็นนี้เอง ทำให้คนจำนวนหนึ่งที่มีแนวคิดด้านสิทธิมนุษชนต่างๆ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับ ความเหมาะสมของการจับมือกันระหว่าง VR46 กับ ARAMCO
 
ก็แน่นอนว่าเมื่อมีประเด็นที่ต่างกัน ดังนั้น การปะทะคารม จึงนำมาซึ่งสงครามโต้ตอบกันบนโลกโซเชี่ยล ขณะที่คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง Valentino Rossi ที่ถูกสื่อยิงคำถามระหว่างการสัมภาษณ์หลังการทดสอบรถแข่งที่เจเรซถึงประเด็นความโปร่งใสของ ARAMCO บอสใหญ่ของ VR46 ก็ตอบกลับก่อนจะลุกหนีไปว่า “เรารักและทุ่มเทในมอเตอร์สปอร์ต นี่คือกีฬาที่เรารักผมรู้แค่นั้น และพยายามที่จะหาทุนมาเพื่อจัดการทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแข่งขัน”


 
นานนับหลายทศวรรษที่กระแสการตื่นตัวของกีฬามอเตอร์สปอร์ตของผู้คลั่งไคล้จำนวนไม่น้อย ทำให้เกิดการก่อสายสัมพันธ์กับแหล่งเงินสนับสนุนที่ไม่ทราบแหล่งที่มาได้อย่างชัดเจน จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของวงการแข่งขันทั่วโลก แม้กระทั่งในอดีตช่วง 1930 ก่อนสงครามโลกจะเกิดขึ้น อะดอร์ฟ ฮิตเลอร์ และพรรคนาซี ยังได้ยื่นมือเข้ามาสนับสนุนกีฬามอเตอร์สปอร์ตและกีฬาต่างๆอีกหลายชนิด เพื่อใช้เป็นช่องทางในการโฆษณาชวนเชื่อและเผยแพร่แนวคิดทางการเมือง ที่สำคัญ อะดอล์พ ฮิตเลอร์ ต้องการแสดงให้คนทั้งโลกได้รับรู้ว่า วิศวกร บุคลากรเชื้อสายอารยัน คือ คนที่ฉลาดที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในโลก ผ่านการแข่งขันต่างๆ มีเรื่องเล่ากันว่าตัวฮิตเลอร์เอง รู้อยู่เต็มอกว่าสงครามกำลังจะเกิดในไม่ช้า ระหว่างนั้นเอง เขาจึงเริ่มเผยแพร่ความเชื่อที่ว่าชาวอารยันคือเชื้อสายที่ฉลาดแกร่งกล้าทีสุดเหนือเผ่าพันธ์อื่นๆ ดังนั้นในวงการแข่งขันรถจักรยานยนต์พวกเขาจึงประกาศให้การสนับสนุนและฝึกฝนนักแข่งภายใต้การสนับสนุนของหน่วยงาน ที่เรียกว่า NSKK -National Socialist Motor Corps ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้สังกัดใน NSKK แล้วมาจากเยอรมัน คุณจะถูกกีดกันไม่ให้ได้เข้าร่วมแข่งขัน กล่าวคือ ในยุคนั้นนักแข่งชั้นยอดจากเยอรมัน จะต้องอยู่ในการดูแลของ NSKK เท่านั้น ขณะเดียวกันทางพรรคนาซีนก็พยายามขยายบทบาทและอิทธิพลด้วยการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของพรรคเข้าไปมีส่วนร่วมกับการประชุมประจำปีของ FIMอีกด้วย โดยการแข่งขันเวลานั้นยังไม่ใช่การแข่งขันชิงแชมป์โลกอย่างเป็นทางการ กล่าวคือ ยังไม่มีการเก็บคะแนนสะสมในแบบที่เรียกว่ากรังด์ปรีซ์ แต่รายการแข่งขันที่ทั่วโลกรู้จักและสนใจช่วงเวลานั้นก็คือ Isle of man TT และการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรป ดังนั้นด้วยการออกตัวสนับสนุนของฮิตเลอร์และพรรคนาซี จึงมีผลให้ BMW และ DKW เป็นค่ายรถที่โดดเด่นในเวลานั้น ถึงกับสร้างปรากฏการณ์ที่ฮือฮาอย่างมากด้วยการที่นักแข่งอย่าง Georg Meier สามารถนำรถแข่ง BMW ชนะค่ายรถชั้นนำในยุคนั้น ก็คือ Norton ได้ และจากแนวทางของฮิตเลอร์นี้เอง ในช่วงนั้นทางฝั่งอิตาลีที่มีกลุ่มแนวคิดฟาส์ซิสต์ ที่สานต่อแนวคิดของเบนิโต มุสโซลีนี่  ก็โดดเข้ามาเล่นตามกลยุทธนี้ด้วยเช่นกัน พวกเขาเป็นแบ็คให้กับค่ายรถในอิตาลีอย่าง Gilera 

หลังหมดช่วงสงครามโลก ก็เข้าสู่ช่วงของการก่อตั้งการแข่งขันชิงแชมป์โลกอย่างเป็นทางการในช่วงปี 1949  เป็นต้นมา วงการแข่งเริ่มบางส่วนเริ่มเปิดรับการสนับจากแหล่งผู้สนับจากนอกอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะเป็นระดับการแข่งขันที่สูงสุดของโลกซึ่งจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล

“เราจำเป็นต้องทำตัวเป็นหนูในบางครั้งเพื่อหาอาหาร เพราะเราต้องได้รับการสนับสนุนที่พอจะยืนหยัดในสังเวียนแข่งขันได้ เราต้องเลือกที่จะยอมรับหรือไม่ก็ต้องเลิกเพราะไม่มีทุนสำหรับแข่ง” ..อดีตนักแข่งที่เคยชนะใน GP500 อย่าง Jack Ahearn ชาวออสเตรเลียได้กล่าวไว้ จากสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดเช่นที่ Walter Migliortati ถูกจับกุมในปี1984 หลังจากถูกตรวจค้นระหว่างการเดินทางในยูโรป เมื่อศุลกากรพบโคเคนและกัญชารวมสองกิโลกรัมในทีมแข่งของเขา นี่คือหนทางที่เขาตัดสินใจเพื่อหารายได้เข้ามาจัดการทีมแข่งหลังจากที่เขาเริ่มมีปัญหากับการหาทุนสำหรับทำรถแข่ง RG500 ที่มีค่าใช้จ่ายแต่ละสนามค่อนข้างสูง


 
เชื่อกันว่าหนทางที่เชื่อมโยงกับยาเสพติดนี้มาจากแนวคิดในช่วงปี 1960 ที่ในเวลานี้ ทีมแข่งต่างๆจะต้องเดินทางระหว่างประเทศ ดังนั้นพวกทำธุรกิจน้ำเข้าสินค้าจำพวก เหล้า เบียร์ บุหรี่อะไรจำพวกนี้ จึงเริ่มเข้ามาติดต่อกับทีมต่างๆ เพื่อให้ช่วยขนสินค้าเพื่อหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งดังนั้นในขบวนรถของทีมแข่งบางทีมจึงมีการดันแปลงพื้นที่เพื่อซุกสินค้าเหล่านี้ ก่อนที่จะเติบโตสู่ด้านมืดมากขึ้น ซึ่งนั่นก็คือ การเกี่ยวข้องกับวงการค้ายา นี่คือวิวัฒนาการด้านมืด ที่ว่ากันว่า เงินสกปรก กับวงการมอเตอร์สปอร์ตมีมายาวนาน และไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่ที่ตลกก็คือ ทำไมพวกองค์กรมนุษยชนเหล่านั้น รวมทั้งคนทั่วไปที่มีแนวคิดด้านสิทธิมนุษยชนบางคน มักจะเหมารวม ว่าทุกอย่างเป็นเงินสกปรกไปหมด แม้กระทั่งกระแสการบูมของผลิตภัณฑ์ยาสูบที่เริ่มขึ้นในช่วงปี 1970 ต่อเนื่องมาในวงการมอเตอร์สปอร์ตนั้น ต้องถูกยุติบทบาทในปี 2006 โดยสิ้นเชิง หากจำกันได้ ในวงการแข่งขันยุค 1980 - 1990 แทบทุกพื้นที่ในสนามการแข่งขันเต็มไปด้วยการโฆษณาผลิตยาสูบอย่าง Marlboro-Rothmans-LuckyStrike , Camel , Fortuna - Cabin-Parisienne ที่ต่อเนื่องมาจนถึงยุคต้น 2000 ก่อนที่จะต้องยุติบทบาท เมื่อผลวิจัยชี้ชัดว่า ยาสูบเหล่านี้ฆ่าคนตายมากกว่ายอดผู้เสียชีวิตในสงครามโลก และถูกตีตราว่าเป็นเงินสกปรก จากธุรกิจสีเทา
 
และนี่เองถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ARAMCO ที่เพิ่งจบดีลกับ VR46 หมาดๆ ก็โดนตั้งข้อสงสัย จากข้อมูลขององค์กรสิทธิมนุษยชนว่า ซาอุดิอาระเบียมีส่วนร่วมกับการสนับสนุนกับสงครามในเยเมนที่ทำให้คนตายไปกว่าสองแสนตน โดย ARAMCO คือผู้ให้ทุนในการจัดหาอาวุธแก่กองกำลังเหล่านั้น ว่ากันว่ามีมูลค่าทางการตลาดในระดับเกือบๆสองล้านล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่ารายได้มวลรวมของประเทศรัสเซียด้วยซ้ำไป แม้ที่ผ่านมาพวกเขาจะเคยลงทุนสนับสนุนกีฬามากมาย รวมทั้งการมีส่วนสนับสนุนในวงการ F1 ก็ตาม แต่กลับมาเป็นเรื่อง หลังจากเพิ่งจบดีลสนับสนุน VR46 ของ Valentino Rossi ไม่ถึงสัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเหมือนไฟลามทุ่งแปรบๆก็มอดลงไป อย่างที่บอก มันเป็นเรื่องธรรมดาของคำว่า ธุรกิจสีเทา หรือแหล่งที่มาของแหล่งเงินที่น่าสงสัย ไม่ใช่เรื่องแปลกในวงการมอเตอร์สปอร์ต แต่ที่แน่ๆ เจ๋งสุดๆคือ การตอบแค่เพียงสั้นๆของ Valentio Rossi ที่ว่า พวกเขาก็แค่อยากทำตามฝันทำตามแผนงานทำทีมแข่งในระดับสูงสุดเท่านั้น เมื่อ ARAMCO เข้ามาสนับสนุนปิดดีลได้ หน้าที่ของเขาก็คือ ทำทีมตามแพลนที่วางไว้ อย่างอื่นเป็นเรื่องของ ARAMCO ไม่เกี่ยวกับพวกเขา
 
นี่คือกลุ่มบริษัทค้าน้ำมัน ที่เข้ามาสนับสนุนด้วยเงินมหาศาล และยอนรับกติกาเงื่อนไขระหว่างกันและกันได้ จนปิดดีลสำเร็จ นั่นแหละที่พ่อหมอบอก “อย่างอื่นกูไม่สนใจ”

UIP : 852 | Page View : 1,229