​Story from the Pit-Box : Joan Mir ในปี 2020 เรียนรู้พร้อมปลดแอกจากคำว่า รุกกี้

ในฤดูกาล2019 ที่ผ่านมานั้น ถือได้ว่าเป็นปีของการเรียนรู้ที่ตึงเครียดของเหล่านักแข่ง ดาวรุ่งรุ่นใหม่ ที่ก้าวขึ้นสู่เกมระดับพรีเมียร์คลาส กับบทสำคัญที่ท้าทายที่สุดในโลก ที่พวกเขาจะต้องพิสูจน์ด่านสำคัญนี้ด้วยการกุมคันเร่งด้วยตัวเอง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ แต่ละคน ล้วนมีโปรไฟล์ที่ยอดเยี่ยมผ่านการคัดกรองมาจากในรุ่น Moto3 และ Moto2 จนได้รับโอกาสที่นักแข่งทั้งโลกล้วนเฝ้าฝัน คือ การเข้ามาเป็นนักแข่ง MotoGP ทั้ง Fabio Quatararo , Miguel Oliveira,Pecco Bagnaia และ Joan Mir ต่างก็ถูกลิสต์อยู่ในชื่อว่าที่นักแข่ง รุ่นใหม่ในระดับซูเปอร์สตาร์ทของเกมในระดับพรีเมียร์คลาสนี้
 
Joan Mir เริ่มต้นจากการเข้ามาแข่งขันแบบเต็มฤดูกาลในปี2016 ก็สามารถจบด้วยอันดับที่ห้าก่อนจะคว้าแชมป์ Moto3 ได้ในฤดูกาล 2017 ด้วยการชนะไว้ถึงสิบครั้ง  พร้อมกับได้โอกาสเลื่อนขึ้นสู่รุ่น Moto2 ทันทีในปี 2018 ด้วยการเซ็นสัญญากับทีมไว้สี่ปี แต่แล้วเขาก็ช๊อควงการเมื่อ Suzuki ประกาศดึงเขาเข้าสู่ทีม MotoGP ในปี2019 ซึ่งเป็นข่าวที่ส่งผลให้เขากลายเป็นนักแข่งดาวรุ่งวัย 22 ปี ที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่ง แน่นอน ภาระหนักอึ้ง กับโควตา นักแข่งทีมแฟคทอรี่ ที่รู้กันในวงการดีว่า นี่คือเกณฑ์บังคับโดยปริยายที่เขาจะต้องลุ้นตำแหน่ง TOP10 ให้ได้นั่นเอง
 










ทว่าเส้นทางการเป็นนักแข่ง MotoGP ของ Joan Mir ต้องพบกับเส้นทางที่แตกต่างจากบรรดาดาวรุ่งคนอื่น เมื่อเขาต้องพบวิบากกรรม หลังการแข่งขันที่สาธารณะเชค ก็มาต่อการทดสอบรถหลังแข่ง “เขาล้มอย่างแรงที่โค้งแรกของสนามBrno ด้วยความเร็วกว่า 300 กม./ชม.” และต้องนำส่งโรงพยาบาลในทันที ซึ่งก็พบว่าได้รับบาดเจ็บที่ช่วงอก จนต้องพลาดการลงสนามในเกมที่ ออสเตรีย และ อังกฤษ แม้กระทั่งถึงเกมนัดปิดฤดูกาลที่ Valencia ผู้จัดการทีมอย่าง Davide Brivio ยังเอ่ยปากกับสื่อมวลชนว่า “เขายังไม่ 100% หลังจากเกิดอุบัติเหตุ” แน่นอนว่า มันส่งผลถึงเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ นั่นคือ หลุดจากกลุ่มTOP10 หลังจบฤดูกาล ซึ่งตรงกันข้ามกับดาวรุ่งอย่าง Fabio Quatararo ที่เจิดจรัสยิ่งกว่านักแข่งรุ่นราวคราวเดียวกัน ทว่า Mir ก็ยังดูดีกว่า Oliveira ที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอย่างที่ควรใน KTM
 
เอาเป็นว่าเราข้ามเรื่องผลงานหรือการเปรียบเทียบเส้นทางการแข่งขันในปีที่ผ่านมาของเหล่านักแข่งดาวรุ่งเหล่านี้ แต่มาโฟกัสที่ Joan Mir กันว่า บทเรียนสำคัญในฐานะนักแข่ง MotoGP ปีแรกของเขานั้น “ได้อะไรบ้าง” และหากจะแนะนำสามอย่างแก่คนอื่นๆที่จะก้าวขึ้นมาในระดับพรีเมียร์คลาสนี้ ในอนาคต จะบอกอะไรบ้าง

Mir : ผมรู้แต่แรกแล้วว่าจะต้องมีความแข็งแกร่ง แข็งแรง และต้องพร้อมในทุกด้านหากจะลงขี่ในรุ่น MotoGP เพราะนี่ คือ การแข่งขันที่เร็วที่สุด และมีการขับเคี่ยวที่หนักหน่วงมากที่สุด การเตรียมความพร้อมจะต้องทำอย่างดีที่สุดให้พร้อมยืนหยัดได้ตลอดทั้งฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีแรกนี้ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งใหม่ทั้งหมด มันยกระดับจากที่เคยขึ้นไปอีกขั้น ถ้าเปรียบเทียบการสอบแล้ว นั่นหมายความว่าเราจำเป็นที่จะต้องอ่านทุกอย่างในตำราให้เข้าใจและเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้เพื่อลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น กล่าวคือ คุณจะต้องเข้าใจให้มากที่สุด เพื่อลดความไม่รู้ที่มีให้เหลือน้อยที่สุด บททดสอบทุกอย่างมันจะสอนเราเองให้รู้จักเรียนรู้ ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับผม บททดสอบแรกนั้นจะเริ่มครั้งแรกจากการลงทดสอบรถครั้งแรกที่มาเลเซีย การทดสอบสามวัน วันละ75 รอบ ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัด นั่นแหละ คือด่านแรกที่จะบอกตัวเองได้ว่า เตรียมตัวมาพร้อมแล้วหรือยัง หรือว่ายังต้องเพิ่มความพยายามให้มากขึ้น ในที่นี้หมายถึงการเตรียมสภาพร่างกาย ซึ่งส่วนตัวผมนั้นบอกได้เลยว่า ผมแฮปปี้กับด่านแรกนั้น เพราะผมรู้ตัวดีว่าจะต้องเผชิญกับอะไรในการขยับขึ้นมาขี่ในรุ่นนี้ อีกทั้งผมเองก็ได้รับรู้จากนักแข่งคนอื่นๆว่า มันลำบากขนาดไหนกับการเตรียมตัวที่จะขี่รถแข่งในรุ่นนี้ จากนั้นผมจะต้องพยายามขี่ให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถขี่ได้ เพื่อที่จะเรียนรู้ทำความเข้าใจกับรถแข่งให้มากที่สุดเร็วที่สุดเพื่อหาความรู้สึกที่ดีจากการขี่รถในสนาม แรกเลยผมคิดว่ารถมันหนักมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงมันต่างจากรถแข่งMoto2 ไม่มากนักในเรื่องของน้ำหนักรถ แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนก็คือ กำลังของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการเบรกกิ้ง การทะยานไปในทางตรงด้วยความเร็วที่จะต้องใช้คันเร่งอย่างหนักหน่วง เพื่อให้ได้อัตราการเร่งที่ดีเพื่อทำความเร็วสูงสุด แน่นอนผลที่ตามมาก็คือการใช้เบรก นั่นหมายความว่าร่างกายจะต้องแข็งแกร่งพอที่จะรองรับแรงที่เกิดขึ้นจากกำลังเครื่องยนต์และความเร็วสูงสุดที่ทำให้เกิดแรงเฉื่อยมหาศาลในจังหวะการเบรก ซึ่งระดับการออกกำลังกายการฝึกฝนในยิมนั้นแตกต่างจากที่เคยทำในช่วงที่แข่งรุ่นMoto3และMoto2 อย่างมาก เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มสมรรถภาพของกล้ามเนื้อเพื่อให้สามารถควบคุมรถแข่งได้จนครบรอบ ขณะเดียวกันผมก็ต้องปั่นจักรยานอย่างน้อยสามหรือสี่ครั้งต่อสัปดาห์ควบคู่กับการฝึกในโรงยิม โชคดีที่ส่วนตัวผมเป็นคนที่ชอบเล่นกีฬา ดังนั้นผมจึงรู้สึกแฮปปี้กับสิ่งที่ต้องทำประจำนี้ และต้องทำให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ เพราะว่าจะต้องอาศัยความแข็งแรงอย่างมาก ซึ่งผมบอกได้เลยว่าแทบทุกครั้งหลังจากการแข่งขันจบลง คุณจะรู้สึกเมื่อยล้าหรือปวดกล้ามเนื้อตามร่างกายเสมอ นั่นน่าจะบอกได้ว่าจำเป็นแค่ไหนในการที่จะต้องหมั่นฝึกฝนร่างกายตลอดเวลา เพื่อเตรียมตัวให้มีความพร้อมสำหรับลงแข่งในรุ่นนี้และยิ่งมีร่างกายที่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ความปลอดภัยและความมั่นใจก็มีมากขึ้นเท่านั้นในการที่จะลงสนามแต่ละครั้ง










 
Mir : ต้องทำสมองให้ว่าง สำหรับสิ่งที่จำเป็น เมื่อย้อนไปในช่วงชีวิตที่ผ่านมานับจากปีแรกที่ได้ลงแข่งในรุ่น Moto3 จนสามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยมในปีถัดมา ก่อนที่จะได้ขยับขึ้นรุ่น Moto2 แล้วก็ได้โอกาสมาขี่รถแข่งในทีมแฟคทอรี่รุ่นMotoGP แน่นอนว่าส่วนตัวผมแฮปปี้กับพัฒนาการที่เกิดขึ้นมาของตัวเอง และแน่นอนว่าผมหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ดีขึ้นในปี2020 ที่จะมาถึง ผมหวังว่าจะสามารถทำได้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้กับรถแข่งในรุ่นMotoGP แต่เชื่อไหมว่าบางทีเราก็อดแวบคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า กำลังทำอะไรอยู่ มาทำอะไรตรงนี้ ในหัวคุณจะคิดอะไรสับสนไปหมดเมื่อผลออกมาไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ และจะยิ่งแย่ลงไปเมื่อผลงานเริ่มแย่ลงไปไม่เหมือนกับสิ่งที่หวังไว้ตอนเริ่มต้นฤดูกาล ดังนั้นทุกปีเราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง พยายามที่จะยกระดับความคิดในด้านต่างๆ อย่ายึดติดอยู่ที่เดิม เรียนรู้ที่จะสร้างความท้าทายเพื่อที่จะพัฒนาตัวเองตลอดเวลา อย่าหยุดนิ่งอยู่กับที่ อย่างช่วงที่ผมได้รับบาดเจ็บจากBrno เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก วิตกกังวล สับสนกับเรื่องต่างๆ แต่ก็ต้องกำจัดเรื่องที่รบกวนนั้นออกไปจากหัว แล้วพยายามทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น มันผิดพลาดที่ตัวผมหรือผิดพลาดที่ปัญหาทางเทคนิค จากการที่ผมล้มอย่างรุนแรงนั้น ทำให้ผมกลัวและกังวลหลายอย่าง ซึ่งมันนำมาแต่ความคิดด้านลบ และยากที่จะกลับมาขี่ได้ในระดับที่เคยทำได้ อย่างที่บอกผมต้องกำจัดเรื่องราวต่างๆนั้นออกไป เพื่อที่จะกลับมาโฟกัสอยู่กับการเรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองให้กลับมารู้สึกดีอีกครั้ง พยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะกลับมาอยู่ในระดับเต็มร้อยอีกครั้ง เพราะฉะนั้นการทำพื้นที่ในหัวให้ว่างสำหรับสิ่งที่จำเป็นเหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการปล่อยให้รกไปด้วยความกังวลความสับสนที่มันจะทำให้เราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างยากลำบาก
 
Mir : ด้วยการที่เป็นรุ่นการแข่งขันในระดับสูงสุด จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนจำนวนมากจะให้ความสนใจในตัวเรา แน่นอนว่ามันทำให้บางอย่างในชีวิตเปลี่ยนแปลงไป สำหรับผมแล้วบอกได้ว่า มันมาพร้อมกับความกดดัน จากการที่มีคนจำนวนมากคาดหวัง หรือหวังผลงานที่ดีจากเรา ทุกอย่างล้วนมีผลเกี่ยวเนื่องกับผลงานที่จะออกมา แม้ว่าจะเป็นสถานะของรุกกี้ก็ยังมีคนไม่น้อยที่คาดหวังสิ่งที่เราจะทำให้ดีที่สุด พวกเขาหวังที่จะเห็นว่าเรามีวิวัฒนาการไปมากน้อยเพียงไรในการลงสนามแต่ละครั้ง นอกจากนี้ความสนใจจากสื่อมวลชนก็มีไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการได้อยู่ในทีมที่ดี พวกเขาย่อมจับตามองดีเรามากขึ้น นั่นคือสิ่งที่แตกต่างจากรุ่นMoto3และMoto2 โดยส่วนตัวแล้วสำหรับผมถือว่าโชคดีที่ได้รับการสนับสนุนที่ดีจากทีมในการให้สร้างความมั่นใจในด้านต่างให้กับตัวผม ดังนั้นผมจึงรู้ว่าจะต้องทำอะไรอย่างไร ปัญหาเดียวก็คือผมมักจะสร้างแรงกดดันให้กับตัวเอง ซึ่งแรงกดดันไม่เคยมาจากทีม พวกเขาพยายามคลี่คลายปัญหาหรือพยายามจัดการทุกอย่างให้กับผมได้อย่างดี จะมีก็ปัญหาเดียวอย่างที่บอก คือ ผมสร้างแรงกดดันให้กับตัวเองนั่นแหละ ดังนั้น พยายามที่จะจัดการอารมณ์ความรู้สึกของตนเองให้โฟกัสอยู่กับหน้าที่ที่เป็นของเราให้ดีที่สุด แล้วเราจะสามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากจากการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากความเคยชินเดิม อย่างที่บอกว่าระดับของMotoGP นั้นมันแตกต่างจากรุ่นที่เคยแข่งอย่างสิ้นเชิงในหลายอย่าง แต่สิ่งแรกที่อยากจะบอกคือ การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่เราจะต้องเจอในระดับรุ่นพรีเมียร์คลาสนี้ คุณจะต้องจริงจังในสิ่งที่จะต้องจริงจัง จะต้องโฟกัสอยู่ในสิ่งที่ควรจะต้องทำ ตัวแปรหลายอย่างที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้ดีที่สุด คือตัวเราเอง ดังนั้น พยายามจัดการทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเราให้ดีที่สุดเป็นอันดับแรก
 
ก็เรียบร้อยกับสามเรื่องที่ Joan Mir ได้เรียนรู้ในฐานะนักแข่งMotoGPและเป็นสิ่งที่เขาจะนำมาแนะนำนักแข่งคนอื่นที่อาจจะก้าวขึ้นมาในระดับพรีเมียร์คลาส และด้วยอาการบาดเจ็บจากการทดสอบในปีที่ผ่านมา ทำให้ผลงานที่ควรจะต้องอยู่ในTOP10 นั้น พลาดเป้าไป ก็ต้องมาลุ้นกันว่า ใน 2020MotoGP ซึ่งเป็นฤดูกาลที่สองกับ Team Suzuki ECSTAR และรถแข่ง GSX-RR นักแข่งวัย22 ปีเต็มอย่าง Joan Mir จะสามารถพัฒนาการไปได้ในระดับใด กับสถานะของนักแข่งทีมแฟคทอรี่เต็มตัว ที่ปลดจากคำว่า รุกกี้ไปแล้ว











UIP : 1,326 | Page View : 2,175