​Story from The Pit-Box : บางเสี้ยวของเรื่องราวจาก RW56

“ผมหวังที่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดและตั้งใจจะแสดงให้เห็นว่ายังเป็นนักแข่งจากครอบครัววิไลโรจน์ ยืนหยัดในสังเวียนแข่งขันอยู่อีกหนึ่งคน”
 
หากจำกันได้เมื่อปี 2018 ของรายการ Asia Road Racing Championship แฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย ได้มีโอกาส เฉลิมฉลอง ชัยชนะและ ฉลองการเถลิงสู่บัลลังก์แชมป์อีกครั้งของทัพนักแข่งไทยในระดับพรีเมียร์คลาสของเกมชิงแชมป์เอเชียที่เวลานั้น รุ่นสูงสุด คือ Supersport600  ที่ซึ่ง Yamaha Thailand Racing Team เคยครองแชมป์เอเชีย Supersport600  โดย เดชา ไกรศาสตร์ ในปี 2007 ต่อ ด้วย เฉลิมพล ผลไม้ ในปี 2009 และ กลับมาเป็นของ เดชา ไกรศาสตร์ อีกครั้งในปี 2010 จนกระทั่งในปี 2018 ที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต ตำแหน่งแชมป์เอเชีย กลับสู่การครอบครองของนักแข่งไทยอีกครั้ง ด้วยผลงานของ รัฐพงศ์ วิไลโรจน์ ที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง Asia Supersport600 Champion นี่เป็นความสำเร็จแรกของนักบิดจากตระกูล วิไลโรจน์ กับการตัดสินใจย้ายมาร่วมงานกับ Yamaha Thailand Racing เป็นฤดูกาลแรก และสร้างชื่อให้กับตนเอง ในฐานะแชมป์เอเชียระดับพรีเมียร์คลาสที่รุ่นสูงสุดของเกมชิงแชมป์เอเชีย ก็คือ Supersport600  แชมป์แรก ครั้งแรก ปีแรก กับทีมใหม่ และความพยายามไล่ล่าทำตามความฝัน บนเส้นทาง นักแข่งอาชีพ ที่ฝังอยู่ใน DNA ของเหล่านักรบความเร็วจาก ตระกูลวิไลโรจน์ และในเกม 2019 Asia Road Racing Championship ข้าพเจ้ามีโอกาสได้กลับมาเยือน ARRC สนามปิดฤดูกาลที่สนามช้างเช่นครั้งที่แล้ว เลยถือโอกาสยิงคำถามเปิดหัวการสนทนา กับเจ้าของตำแหน่ง 2018 Asia SS600 Champion “โฟลท” รัฐพงศ์ วิไลโจน์ ถึงความรู้สึกในการคว้าแชมป์มาครองได้นั้น
 
“ เริ่มแรกผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับการที่ได้ย้ายทีมมาแล้วจะต้องได้ตำแหน่งโน่นนี่ แต่เมื่อลงสนามขี่ไปแล้วก็พบว่า R6 มีสมรรถนะที่เยี่ยม รู้สึกว่าเราสู้ได้ สามารถที่จะขึ้นไปสู้กับหัวแถวได้ จนกระทั่งมีคะแนนลุ้นหลังผ่านครึ่งฤดูกาลแล้ว จนกระทั่งมาถึงสนามสุดท้ายในบ้านเราก็มีลุ้นแชมป์ขอเพียงแค่ชนะให้ได้ทั้งสองเรซ แต่ผมก็ไม่ได้กดดันตัวเองอะไร แค่พยายามที่จะทำให้ดีที่สุด ซึ่งเมื่อทำได้มันเป็นอะไรที่รู้สึกดีมาก มันเป็นการคว้าแชมป์ที่รอคอยมานานมากสำหรับผม และที่รู้สึกดีคือ แฟนไม่ว่าค่ายไหนทีมไหน ทุกคนต่างเชียร์กันในฐานะคนไทย นักแข่งไทย ที่ชนะและสามารถคว้าแชมป์ในโฮมเรซได้สำเร็จ ”
 






นับตั้งแต่ร่วมแข่งขันในคลาสนี้ตั้งแต่ปี 2012 จากอันดับ 21 โอเวอร์ออลขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 17 ในปี 2013 ก่อนที่จะติดในกลุ่มท๊อปเทนในปี2014 ที่รั้งอันดับสิบ ก่อนที่จะทำผลงานได้ดีสุดด้วยการจบฤดูกาล 2015 เป็นอันดับหก ก่อนที่จะแผ่วลงเป็นอันดับ 14 ในปี 2016 และส่งท้ายผลงานในปีสุดท้ายกับต้นสังกัดเดิมในปี 2017 ด้วยอันดับที่เก้า ก่อนจะสร้างความฮือฮาในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล2018ไม่นานนัก เมื่อวงการมอเตอร์สปอร์ตรับรู้ถึงข่าวการย้ายข้ามฟากอย่างเป็นทางการของ รัฐพงศ์ วิไลโรจน์  แน่นอนว่ามันอาจจะเป็น ช่วงเวลาอันหวานชื่น กับ การเส้นทางเดินของนักแข่งอาชีพ สำหรับ รัฐพงศ์ วิไลโรจน์ แล้วฤดูกาลนี้ล่ะ 2019ARRC ที่เกมระดับพรีเมียร์คลาสของเอเชีย เปลี่ยนมาเป็น ASB1000 หรือ Asia Superbike 1000 ซีซี นั่นหมายความว่า เขาจะต้องย้ายขึ้นมาสู่เกมระดับพรีเมียร์คลาสนี้ด้วย ในฐานะแชมป์จากคลาส 600  ทว่าสถานการณ์แตกต่างไป จากสู้เพื่อโพเดี้ยมหรือลุ้นชัยชนะ มาเป็นการต่อสู่ในกลุ่ม TOP10 แน่นอน คำถามที่ ข้าพเจ้ายิงใส่คือ กดดันไหม กับสิ่งที่ออกมาจากผลงานในคลาสพันซีซี หรือผิดหวังไหมกับความคาดหวังของตัวเองในฤดูกาลนี้
 
“ จริงๆแล้วสำหรับผมมันคือความท้าทาย เพราะเราแทบจะไม่เคยขี่ R1 อย่างเต็มฤดูกาลเลย มีโอกาสลงใน R2M อยู่ครั้งหนึ่งในปีที่แล้ว ก็ถือว่าต้องปรับตัวและเรียนรู้กับรถ อีกอย่างร่างกายเองก็มีผลกับการขี่อย่างมาก ซึ่งตัวผมเองต้องพยายามฝึกเพิ่มขึ้น เพราะร่างกายต้องมีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อที่จะควบคุมรถขนาดพันซีซี ทีแรกเลยผมค่อนข้างจะรู้สึกกดดันเล็กน้อยเพราะคิดว่าตัวเองย้ายขึ้นมาในฐานะแชมป์รุ่น600 แต่ไม่ได้นึกว่าทุกคนในรุ่นต่างก็มีประสบการณ์ในระดับหัวแถวจากรุ่นหกร้อยด้วยกันทั้งนั้น แรกๆผมก็ผิดหวังอยู่บ้างที่ทำไม่ได้ตามเป้า จนค่อยปรับการคิดว่า นี่เป็นรุ่นที่แตกต่างจากเดิม มีรายละเอียดหลายอย่างที่แตกต่างไป จึงค่อยๆทำความเข้าใจและเรียนรู้ไป ก็เริ่มจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แม้ว่าผมจะไม่พอใจที่สุดกับสิ่งที่ทำได้ แต่ส่วนตัวก็คิดว่าจะต้องพยายามทำให้ดีที่สุด ที่สำคัญพี่ๆทุกคนในทีมต่างก็พยายามให้การสนับสนุนในด้านต่างๆกันอย่างเต็มที่ ก็คิดว่านี่คือปีแห่งการเรียนรู้ แล้วก็พยายามไม่กดดันมาก ถ้าเราเรียนรู้กับมันได้เร็วเราก็จะสามารถกลับไปมีตำแหน่งที่ดีได้ แต่ผมก็ไม่ได้ตั้งความหวังว่าจะต้องชนะหรือจะต้องได้แชมป์เมื่อไรอย่างไร แค่พยายามทำให้ดีที่สุด เรียนรู้กับมันให้มากที่สุด แล้วเมื่อเรารู้จักมันดีพอ สักวันเราก็จะเร็วที่สุดและอาจจะเป็นที่หนึ่งได้สักวัน ”

กับเส้นทางการแข่งขันในฐานะนักแข่งอาชีพ สำหรับ รัฐพงศ์ วิไลโรจน์ วางเส้นทางไว้อย่างไรบ้าง เพราะก่อนหน้านี้ช่วงที่ย้ายมาทีมใหม่นี้ เคยบอกว่า ต้องการทำตามความฝันของตนเอง  ซึ่งโฟลทได้กล่าวว่า “ สำหรับผมถือว่าทำสำเร็จในขั้นหนึ่งแล้ว คือตอนนั้นตอนที่ตัดสินใจย้ายมาอยู่ตรงนี้ ผมคิดเอาไว้ว่าจะต้องพยายามทำแชมป์ให้ได้สำเร็จ ซึ่งผมก็ทำได้ไปแล้วในปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ถือว่าทำตามความฝันขั้นแรกของตนเองได้ในระดับหนึ่ง หลังจากนี้ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดและจะพยายามคว้าแชมป์ต่อไปให้ได้ พยายามทำเพิ่มให้ได้เมื่อมีโอกาส แต่ก็ไม่ได้ตั้งความหวังไว้กดดันตัวเองแต่อย่างใด เพียงแต่จะพยายามทำให้ดีที่สุดให้เต็มที่ในแต่ละสนามในแต่ละครั้ง คือ เมื่อเราทำได้ดีที่สุด แล้วเส้นทางการเดินต่อไปมันก็จะมาเอง คือโฟกัสที่จะทำผลงานให้ดีที่สุดแทนที่จะไปตั้งเป้าหมายเพื่อกดดันตัวเอง ส่วนตัวผมคิดไว้อย่างนั้นนะครับ ”  
 









แล้วในฐานะที่เป็นหนึ่งในในขุนพลนักบิดจาก ตระกูลวิไลโรจน์ มีความรู้สึกเช่นไรเมื่อมีการเปรียบกับพ่อหรือพี่ชาย ที่ต่างก็โลดแล่นในสังเวียนของการแข่งขันระดับนานาชาตินี้
“ สำหรับผมเองไม่เคยนำมาคิดจนกลายเป็นความกดดันอะไรเลยนะครับ ผมไม่เคยนำมาเปรียบเทียบว่าใครแข่งระดับไหนผลงานอย่างไร แต่ผมกลับรู้สึกว่าผมพยายามที่จะทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่า ยังมีนักแข่งจากตระกูลวิไลโรจน์โลดแล่นอยู่ในสังเวียนนะ หลายๆคนเคยคุ้นเคยกับพ่อ กับพี่ รู้จัก คริสมาส หรือ รัฐภาคย์ แต่ในเวลานี้ ยังมีผมอยู่ในสนามอีกคน ยังมีผมที่เป็นอีกหนึ่งนักแข่งจากครอบครัววิไลโรจน์ ผมไม่เคยกดดันอะไรกับจุดนี้เลย แต่ผมภูมิใจกับทุกสิ่งที่พ่อและพี่ได้ทำไว้ในวงการ และนี่ก็จะเป็นอีกช่วงเวลาที่ผมจะต้องทำให้ดีที่สุดในแบบของผม ในเส้นทางของผม  โดยส่วนตัวผมชอบกีฬาที่ผาดโผนมาตั้งแต่เด็ก คิดว่ามันท้าทายดี แต่ที่นี้กีฬาแข่งรถมันอยู่ใกล้ตัวที่ผมมีโอกาสเห็นตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นสิ่งที่ใกล้ตัว จนผมมีโอกาสซึมซับ และได้เรียนรู้จนก้าวขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งนักแข่งจากครอบครัววิไลโรจน์ และผมจะพยายามยืนหยัดให้ยาวนานที่สุดเท่าที่ตัวเองจะสามารถลงแข่งขันได้ เพราะผมคิดว่า กีฬาแข่งรถนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว และอะไรก็ตามที่เราทำแล้วมีความสุขเราก็จะพยายามอยู่กับมันให้นานที่สุด แม้บางทีอาจจะเจออะไรที่ยากๆมันก็จะช่วยทำให้เราพยายามที่จะอยู่กับมัน และแน่นอนว่าผมเองก็ตั้งใจที่จะทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อทุกคนที่คอยให้การสนับสนุน ”

“สำหรับผมส่วนตัวผมก็ดีใจที่คว้าแชมป์เอเชียมาได้ อยากบอกว่าผมทำได้แล้วในระดับหนึ่ง ก็อยากจะบอกว่าผมทำได้แล้ว ก็จะพยายามทำให้เต็มที่กับความสำเร็จต่อไป อยากจะบอกป๋านะว่า คว้าแชมป์เอเชียให้ได้แล้ว คือความฝันหนึ่งที่ป๋าอยากให้ผมทำได้ก็คือว่าอยากให้ได้แชมป์ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าอยากให้ได้แชมป์อะไรระดับไหน แต่ว่าตอนนี้ผมคว้าแชมป์เอเชียมาให้ได้แล้วนะ อย่างพี่เองอย่างคุณแม่เองต่างก็อยากที่จะเห็นผมมีผลงานที่ดีอยู่แล้ว ก็อยากจะขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจ ที่คอยสนับสนุน รวมทั้งแฟนๆชาวไทยทุกๆคนที่คอยให้การสนับสนุน ที่ผมเห็นตั้งแต่สมัยของพี่แล้วที่ไม่ว่าจะมีผลงานดีหรือไม่ดีทุกคนต่างก็พร้อมให้กำลังใจ ผมเชื่อว่านั่นคือหนึ่งในพลังที่ช่วยให้เราอยากที่จะทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อแฟนๆด้วยครับ ”

จากที่ในกอง บก.ของจักรยานยนต์เวิร์ลด์ ที่สงสัยว่าจะเป็นความกดดันของนักแข่งและทีมหรือไม่กับการหวังผลใน รุ่น ASB1000 ปีแรกนี้ ก็คลายคำตอบได้จากการพูดคุยกับตัวนักแข่งอย่าง รัฐพงศ์ วิไลโรจน์ ที่น่าจะแบกรับภาระ ในฐานะ แชมป์ SS600 ที่ย้ายขึ้นมาสู้ศึกในรุ่นนี้เป็นปีแรก เช่นเดียวกับที่ ผู้จัดการทีม Yamaha Thailand Racing Team ได้กล่าวกับ กอง บก.จักรยานยนต์เวิลด์ ระหว่างสัปดาห์ของการแข่งขันที่ บุรีรัมย์ ที่ผ่านมาว่า “ ปีนี้การขึ้นมาสู่รุ่น ASB1000 เป็นฤดูกาลแรกนั้นไม่ได้กดดันอะไรมากหรือตั้งเป้าอะไรไว้มากเพราะ รถแข่ง R1 ที่แข่งขันในปีนี้ แตกต่างกับ R6 ที่เราประสบความสำเร็จอย่างงดงามในรุ่น SS600 ซึ่งตัวแปรหลักในฤดูกาลนี้ก็คือ ระบบอิเล็คทรอนิคส์ ซึ่งต้องบอกว่า ไม่ง่ายเลย เพราะ กติกานั้นแตกต่างกับที่เราแข่งใน Thailand Superbike คือ ใน ARRC นั้น ระบบอิเล็คทรอนิคส์ของรถนั้นยังกำหนดให้เป็นของสต๊อกทั้งหมด เพราะฉะนั้นการปรับเซ็ททุกอย่างจึงค่อนข้างยาก ด้วยระดับความหยาบของค่าการเซ็ทติ้งที่ไม่ละเอียดแบบการเซ็ทติ้งหรือจูนนิ่งด้วยชุดคิท จึงถือว่าในปีนี้เรากำลังเรียนรู้ทำความเข้าใจกับรถแข่งโดยเฉพาะระบบอิเล็คทรอนิคส์ในรุ่น ASB1000 ซึ่งแต่ละสนามก็ถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่งเมื่อนักแข่งสามารถทำผลงานได้เป็นไปในทิศทางบวกแต่ละครั้งที่ลงสนาม ส่วนผลงานโดยรวมของทีมนั้นก็ยังคงประสบความสำเร็จต่อเนื่องในรุ่น SS600 ที่เราสามารถรักษาตำแหน่งแชมป์ของรุ่นไว้ได้อีกปี ”









UIP : 1,246 | Page View : 2,074