รีวิวยามาฮ่า M-SLAZ สตรีทไบค์กับการขี่ในเมือง

ผ่านไปครึ่งปีกับรถสไตล์สตรีทไบค์อย่างยามาฮ่า M-SLAZ ที่ยังคงได้รับความสนใจจากผู้ใช้นับตั้งแต่เปิดตัวมาจนถึงวันนี้ เป็นที่ต้องการของผุ้ใช้และยิ่งยามาฮ่ามีซีรี่ส์ภาพยนตร์ “อยู่ที่เรา” ด้วยแล้ว ยามาฮ่า M-SLAZ ก็เป็นที่โดนใจกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น จนครองความนิยมสูงสุดในรถประเภทสปอร์ต ซึ่งในวันนี้เรามีทริปทดสอบมานำเสนอให้ทราบกันสำหรับผู้ที่กำลังจะตัดสินใจ เป็นเจ้าของ
 




ยามาฮ่า M-SLAZ มีรูปทรงที่แตกต่างจากรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ตทั่วไป โดยการดีไซน์รถรุ่นนี้ได้รับแนวทางการออกแบบมาจากรถในตระกูล MT ของยามาฮ่า นำๆจุดเด่นของรถสไตล์Master of Toque หรืออีกนัยนึงก็คือ MT มาบรรจุงลงบนรถรุ่นนี้ โดยใต้การออกแบบโดยทีมวิศวกรคนไทย ที่ต้องการจะให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์คนไทยสามารถมีช่องทางในการขับขี่ในรถ สไตล์MTได้ง่ายขึ้นด้วยราคาจำหน่ายไม่ถึงเก้าหมื่นบาท พร้อมเล็งกลุ่มเป้าหมายที่เคยใช้รถในสไตล์มินิสปอร์ตที่อัดอั้นไม่มีทางไป กับรถที่มีซีซีขนาด125 ซีซี ได้มีโอกาสขยับขยายสไตล์การขับขี่ของตนเองได้ ยามาฮ่า M-SLAZ ก็คือรถจักรยานยนต์ที่จะมีเติมเต็มได้มากยิ่งขึ้น ความแตกต่างทั้งจากรูปทรงที่สูงใหญ่กว่า แข็งแรงและแข็งแกร่งกว่า รวมถึงปริมาตรกระบอกสูบที่มากกว่า แถมราคาก็จับต้องได้ง่ายกว่า รวมถึงความเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นที่มีศูนย์บริการที่ครบครันและทั่วถึงมากกว่า ทำให้รถที่มีลักษณะใกล้เคียงกันอย่างKTM DUKE200และBenelle TNT250 แต่ด้วยราคาของM-SLAZ ที่เปิดตัวไว้ที่ 89,500 บาทนั้นทำให้คู่แข่งทั้งสองต้องสะเทือน ด้วยรูปทรงที่มีมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 150 ซีซี กระบอกสูบไดอะซิล ราคาที่สัมผัสได้ ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจของผู้ที่คิดอยากเป็นเจ้าของ




 
ยามาฮ่าได้ทำการออกแบบM-SLAZ มาเพื่อการขับขี่ที่สนุกเป็นหลัก เพียงขึ้นไปนั่งคล่อมบนรถ เราก็จะรู้สึกได้ว่าเป็นรถสไตล์แฮนด์กว้างเหมือนขี่รถแบบเอ็นดูโร่ ตัวรถมีขนาดความกว้าง 795 มม.ยาว 1,955 มม. สูง 1,065 มม. ความสูงของเบาะ 805 มม. ความสูงระหว่างพื้นถึงเครื่อง 164 มม. มีระยะเคสเตอร์ 26 องศา ระยะเทรล 88 มม. เพียงแค่การขึ้นไปนั่งคล่อมก็จะรู้ถึงความแตกต่างไปจากรถมินิสปอร์ตและรถ สปอร์ตทั่วไป การมีระยะเทรลที่ 88 มม. ช่วยให้การควบคุมรถในสภาพการจราจรในเมืองได้ง่ายขึ้น ทั้งช่วงหน้าได้รับการออกแบบให้มีช่วงหน้าใหม่ เน้นความแข็งแกร่ง สามารถขับขี่ไปได้ในทุกๆที่ ท่าการขี่จะออกมาในแนว Upright ซึ่งก็คือ ท่าการขี่ที่ร่างกายจะเลื่อนไปข้างหน้า พร้อมกับแฮนด์ที่มีขนาดกว้างทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างสนุก


 
การสตาร์ทเครื่องยนต์ M-SLAZ ไม่เหมือนกับรถรุ่นอื่นๆที่เป็นแบบปุ่มสตาร์ท แต่รุ่นนี้เป็นการสตาร์ทในสไตล์MT ของยามาฮ่า เป็นสวิทช์แบบเลื่อนลงมาเพื่อทำการติดเครื่องยนต์ สำหรับเครื่องยนต์ขนาด 150 ซีซี 4 จังหวะระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่มาพร้อมเทคโนโลยีกระบอกสูบ ไดอะซิล เกียร์ 6 สปีด ซึ่งเมื่อมองถึงกำลังเครื่องยนต์ถือว่าเพียงพอต่อการขับขี่ในเมืองเป็นอย่าง มาก อัตราเร่งดีในทุกย่านความเร็ว การออกตัวถือว่าคงความเป็นรถสไตล์MT ออกตัวได้รวดเร็วจัดจ้านพอควร การวิ่งผ่านรถในช่วงการจราจรติดขัด แฮนด์เดิ้ลบาร์ที่ออกแบบให้มีความสูงกว่ารถสปอร์ต ทำให้การรอดผ่านช่องว่างระหว่างรถเป็นไปได้แบบรวดเร็วสะดวกสบาย ระบบเฟรมรถเป็นแบบไดมอนด์ที่รองรับแรงบิดตัวได้ดีในทุกย่านความเร็ว ทำให้ทรงตัวดี เสน่ห์อย่างหนึ่งในรถรุ่นนี้คือ การเลี้ยว ด้วยท่านั่งสไตล์MT ทำให้การเลี้ยวโค้งจะต้องมีการจัดท่าเพื่อให้การขับขี่ที่สนุกมากขึ้นด้วย การโน้มตัวผู้ขับขี่ไปข้างหน้าเล็กน้อยและกางศอกอีกนิด จะทำให้การเข้าโค้งเป็นไปได้สนุกสนานมากขึ้น รวมถึงโช้คอัพหน้าเป็นแบบอัพไซด์ดาวน์ หรือโช้คแบบหัวกลับ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 37 มม.ที่ให้เสถียรภาพในการควบคุมทั้งการเข้าโค้งและการเบรกได้ดี ระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบโมโนโช้คผสานกับสวิงอาร์มแบบSwing Arm Aluminum ใช้กรรมวิธีแบบฉีดขึ้นรูปหรือForge ที่ให้ความแข็งแกร่งกว่า ส่วนการมีวงล้อแม็กลายสวยขนาด 17 นิ้ว ล้อหน้าเบอร์ 110/70 ล้อหลังเบอร์ 130/70 เป็นยางแบบจุปเลส ให้การยึดเกาะถนนได้ดีทั้งการขับขี่ในช่วงการจราจรติดขัดและการใช้ความเร็ว ในทุกๆย่าน อีกจุดที่ถ้ามองเป็นมนตร์เสน่ห์ของยางรุ่นนี้คือ เวลาที่เราชะลอความเร็วเพื่อหยุดหรือจอดที่ความเร็วต่ำประมาณ 5-8 กม./ชม. จะมีอาการสั่นสะเทือนขึ้นมาที่แขน ซึ่งอาการสั่นสะเทือนนี้มีจากลายดอกยางไม่เกี่ยวกับระบบกันสะเทือนและที่ สำคัญคือแรงสั่นสะเทือนนี้ไม่มีผลต่อการขับขี่การทรงตัวแต่อย่างใด มองในแง่ดีเป็นอีกสไตล์ของรถตัวนี้


 
ระบบส่องสว่างกับชุดไฟหน้าที่เป็นแบบFULL LED ให้การส่องสว่างที่ดีในช่วงกลางวันและชัดเจนในการขับขี่ในยามค่ำคืน รวมถึงไฟท้ายแบบLEDที่ให้ความสว่างและให้แสงในการเบรกที่ดีที่เดียว แผงหน้าปัดเป็นแบบดิจิตอลดีไซน์พื้นสีน้ำเงินเข้ม แต่ตัวเลขและมาตรวัดต่างๆเป็นสีขาว แต่พอปิดสวิทช์ จะเป็นพื้นสีขาว สามารถปรับความสว่างได้ 3 ระดับแล้วแต่ความชอบ นอกจากนี้ยังมีมาตรบอกปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง ตัวเลขบอกระยะทางทั้งทริป1-2-ODO และนาฬิกาบอกเวลาที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รู้เวลาในช่วงของการขับขี่


 
น้ำมันเต็มถัง 10.2 ลิตรหลังจากใช้มาหลายวัน กับระยะทาง 258.4 กิโลเมตร มาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงเหลือ 2 ขีดก็จัดการเติมนั้นอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าเติมน้ำมันไป 6.40 ลิตร ได้ค่าเฉลี่ย 40.375 กม./ลิตร กับการขับขี่ที่หลากหลายความเร็วแต่เน้นการออกตัวเร็วๆแรงๆโดยเฉพาะช่วงออก ตัวจากการติดสัญญาณไฟ จะเปิดคันเร่งเร็วและช่วงถนนโล่งๆก็จะขับขี่เร็ว สามารถยืนความเร็วได้สูงถึง 110-120 กม./ชม.ได้แบบสบายๆแต่เราไมได้ขับขี่ในช่วงท็อปสปีด เพราะถนนในเมืองแม้บางช่วงจะมีสภาพว่างแต่ก็ยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ แต่เท่าที่สอบถามเพื่อนนักทดสอบที่เคยขับขี่รถรุ่นนี้ รุ่นนี้สามารถทำความเร็วได้สูงถึง 135-138 กม./ชม.เลยทีเดียว ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นกับสไตล์การขับขี่ การใช้รอบเครื่องยนต์ที่เหมาะสมกับเกียร์ รวมถึสภาพถนน ลม และน้ำหนักของคนขี่ด้วย ที่สำคัญต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วยเช่นกัน แต่ที่แน่ๆความเร็ว110-120 บนถนนสามารถพาผู้ขับขี่ได้แบบสบายๆ นับเป็นรถจักรยานยนต์สไตล์ใหม่ที่น่าใช้งานมากที่สุด

UIP : 1,167 | Page View : 1,205