
ยามาฮ่า แอร็อกซ์155 กับทริปทดสอบในระยะทางไกลกว่า 200 กิโลเมตร จากตัวเมืองอุบลราชธานีสู่แก่งหินสามพันโบก สุดเขตชายแดนไทย-ลาวที่ริมแม่น้ำโขง พิสูจน์สมรรถนะของเครื่องยนต์ 155 ซีซีที่อัดแน่นไปด้วยขุมพลังของเทคโนโลยี Blue Core ที่เร็วจัดจ้านพร้อมการสอบสนองของระบบช่วงล่างที่แน่นหนึบในทุกย่านความเร็ว ทำให้การขับขี่เป็นไปได้อย่างสนุกสนานตลอดทั้งไป-กลับในทริปการทดสอบในครั้งนี้
หลังจากที่ยามาฮ่าเปิดตัวยามาฮ่า แอร็อกซ์155 ไปตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมของปีที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ ยามาฮ่า แอร็อกซ์155 ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้รถจักรยานยนต์ที่ชื่นชอบรถออโตเมติกสไตล์สปอร์ต จนเวลานี้เราจะได้เห็นยามาฮ่าแอร็อกซ์วิ่งอยู่บนถนนในเมืองไทยกันเยอะขึ้น ทั้งนี้จากรูปทรงที่ออกแบบให้มีจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของรถสปอร์ตออโตเมติก ที่มีความโฉบเฉี่ยวและมีกลิ่นอายของรถแข่งในสนามผสานเข้ามาในตัวรถ จึงเพิ่มเสน่ห์ที่ดึงดูดใจผู้ใช้ที่กำลังต่อยอดจากรถออโตเมติกขนาดเล็กมาสู่ออโตเมติกที่มีสมรรถนะที่สูงขึ้น รวมถึงเครื่องยนต์ขนาด 155 ซีซี 4 จังหวะ SOHC 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่ได้รับการออกแบบใหม่จากทีมวิศวกรจากประเทศญี่ปุ่น กับเครื่องยนต์ Blue Core ที่ให้ความแรงสำหรับรถที่ต้องการสมรรถนะที่สูง รวมถึงฟีเจอร์โดนๆทั้งแผงหน้าปัดเรือนไมล์ที่มีฟังก์ชั่นที่ครบครัน ระบบไฟส่องสว่างที่ใช้หลอดFull LED ที่กำลังเป็นที่นิยมในรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ๆ สวิตช์กุญแจที่มีทั้งสวิตช์กุญแจแบบปกติและสมาร์ทคีย์สุดอัจฉริยะ รวมถึงปุ่มเปิดฝาถังน้ำมันและเบาะนั่ง นอกจากนี้ยังเอาใจวัยรุ่นที่จะต้องอยู่ในโลกโซเชียลตลอดเวลากับช่องชาร์ตแบตเตอรี่ ที่เรียกได้ว่าแอร็อกซ์รุ่นนี้มาเต็ม
และวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทริปกับการทดสอบยามาฮ่า แอร็อกซ์155 กับการขับขี่ในระยะทางไกลเกินสองร้อยกิโลเมตรเป็นครั้งแรก โดยจุดเริ่มต้นของทริปการทดสอบนี้อยู่ที่ร้านผู้แทนจำหน่ายกิจตรงยามาฮ่าอุบลราชธานี สู่ แก่งสามพันโบก สุดชายแดนของไทยริมแม่น้ำโขง ที่อยู่ห่างจากเมืองออกไปราวๆร้อยกว่ากิโลเมตร ซึ่งในทริปนี้เรามีเวลาในการขับขี่ทดสอบกึ่งท่องเที่ยวเพียงไม่กี่ชั่วโมง เราจึงต้องเวลาในทริปนี้อย่างเต็มที่
หลังจากรับรถยามาฮ่าแอร็อกซ์155 แล้ว แปดโมงกว่าๆก็เริ่มออกเดินทาง รถยามาฮ่าแอร็อกซ์ทั้ง 4 คันหลังจากเติมน้ำมันเต็มถังก็เดินทางมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทาง เราเริ่มต้นของทริปการขับขี่แบบเบาๆด้วยความเร็วราวๆ80 กม./ชม.ในช่วงแรก ก่อนจะขยับขึ้นมายืนระยะอยู่ที่ 100 กม./ชม. ซึ่งความเร็วระดับนี้ถือว่ายังสบายๆและอยู่ในความรู้สึกที่คันเร่งว่ายังมีเหลือให้เร้าใจมากกว่านี้ เสียงเครื่องยนต์อัดแน่นไปด้วยขุมพลังของปริมาตรกระบอกสูบ 155 ซีซี ที่มีขนาดกระบอกสูบ 58 มม. ช่วงชัก 58.7 มม.ที่ส่งพลังให้อัดแน่นและพร้อมที่จะปลอดปล่อยด้วยความเร็วที่มากกว่านี้ แต่นักแข่งสอบยังคงใช้ความเร็วนี้ไปในตลอดเส้นทางจะมีบางช่วงที่ขยับแซงรถก็จะเติมคันเร่งเข้าไป ทำให้เราได้เห็นกำลังที่ปล่อยออกมาพร้อมการทำงานของระบบวาล์วแปรผันหรือ VVA ที่ทำงานในรอบความเร็วที่เกินกว่า 6,000 รอบต่อนาที นั้นในความเร็วที่เราใช้อยู่ที่ 100 กม./ชม.นั้นรอบระบบVVA ทำงานอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วและเพียงบิดคันเร่งแซงรถร่วมทางเราก็รู้สึกถึงพลังที่พร้อมที่ปล่อยออกมา เส้นทางที่ใช้ต้องยอมรับว่าพื้นถนนลาดยางอย่างดีและถนน 4 เลน ทำให้การใช้ความเร็วเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีบางช่วงที่เป็นช่วงทำสะพานข้ามคลองทำให้ต้องลัดเลาะทางลูกรัง ยามาฮ่า แอร็อกซ์155 สามารถไปได้เร็วเพียงแค่ยกคันเร่งและรักษาความเร็วในระดับปลอดภัย ระบบกันสะเทือนรอบรับแรงสั่นสะเทือนของพื้นผิวถนนได้ดี ให้การทรงตัวที่ดีเยี่ยมพอๆกับการใช้ทางถนนพื้นลาดยาง อีกจุดที่ต้องยอมรับในเรื่องของช่วงล่างของรถแอร็อกซ์คันนี้ในช่วงที่เลี้ยวเข้าทางลัดเพื่อมุ่งหน้าสู่แก่งหินสามพันโบก ช่วงทางลัดเส้นทางเป็นถนนสองเลนสวน สภาพพื้นผิวถนนส่วนใหญ่เป็นถนนแบบหินลอย ถือพื้นผิวของถนนจะค่อนข้างขรุขระมาก แต่ด้วยระบบกันสะเทือนหน้าหรือโช้คอัพหน้าขนาด 26 มม.ที่รองรับแรงสั่นสะเทือนหน้าหน้าได้ดีรวมถึงโช้คอัพหลังคู่ที่มีระยะยุบ 86 มม. ซึ่งรถคันที่ขี่นี้เป็นรถแอร็อกซ์เวอร์ชั่นอาร์ ซึ่งจะเป็นรุ่นที่จานดิสก์เบรกหน้าแบบแต่งและโช้คอัพหลังเป็นแบบซับแทงค์ ซึ่งโช้คหลังแบบซับแทงค์ตัวนี้ช่วยซับแรงสั่นสะเทือนและแรงกระแทกของพื้นผิวถนนได้ดี รวมถึงขนาดของยางหน้าและยางหลัง โดยตามสเป็คของรุ่นนี้ยางหน้ามีขนาด 110/80 และยางหลังขนาดใหญ่ 140/70ที่ให้การยึดเกาะพื้นผิวที่ราบเรียบและขรุขระได้ดี ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกสนุกสนานไปกับรถยามาฮ่าแอร็อกซ์155 คันนี้
หลังจากเดินทางมาถึงแก่งหินสามพันโบก แก่งหินที่มีความมหัศจรรย์ แม้ในยามหน้าแล้งนี้ก็โชว์อีกหนึ่งมุมมองของแนวหลุมหินต่างๆมากมายที่อยู่ในแม่น้ำโขงยามเหือดแห้ง เราหามุมถ่ายรูปและชื้นชมความสวยงามของแก่งหินสามพันโบกอยู่นานพอสมควร จนถึงเวลาที่จะต้องเดินทางกลับ โดยในช่วงขากลับนี้เราเลือกใช้เส้นทางหลักในการเดินทางสู่ตัวเมืองอุบลราชธานี เพราะสภาพถนนน่าจะราบเรียบกว่าในช่วงถนนทางลัด การใช้เส้นทางหลักนี้ทำให้เรามีระยะทางเพิ่มอีกราวๆ40 กม. แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา หลังจากเติมน้ำมันเต็มถังเป็นครั้งที่สอง ก็ได้เวลาระเบิดสมรรถนะที่แท้จริงของยามาฮ่าแอร้อกซ์155 เราเปิดคันเร่งแบบเต็มคันบิดในทันทีที่ออกเดินทาง รถยามาฮ่าแอร็อกซ์155 ทำความเร็วได้อย่างยอดเยี่ยมท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัดอุณหภูมิของอากาศก็น่าจะราวๆ 39-40 องศา เครื่องยนต์ของยามาฮ่าแอร็อกซ์155 ทำงานได้ดีด้วยเครื่องยนต์ตัวนี้มีระบบระบายความร้อนด้วยน้ำพร้อมติดตั้งพัดลมระบายความร้อนที่มีขนาดกะทัดรัด ที่ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถดูได้จากการทำงานของเครื่องยนต์ที่ส่งกำลังสู่ความเร็ว จากความเร็ว 100 กม./ชม. ขยับขึ้นมาที่ 105 กม./ชม.และขึ้นมาอยู่ที่ 110 กม./ชม. ซึ่งมาถึงความเร็วตรงนี้เรารู้สึกได้เลยว่ารถพุ่งทะยานไปข้างหน้าเร็วมาก และในมือที่กำลังเร่งก็ยังมีคันเร่งให้บิดเพิ่มอีกนิด ซึ่งไม่รอช้า เราบิดคันเร่งแบบหมดปลอกรถพุ่งทะยานไปมาอยู่ที่ 115 กม./ชม.ในท่านั่ง และเมื่อหมอบความเร็วก็เพิ่มมาเป็น 120 กม./ชม. หลังจากมาถึงจุดหมายปลายทางที่ร้านกิจตรงยามาฮ่า ตลอดทั้งทริปในวันนี้ต้องยอมรับว่าการขับขี่ยามาฮ่า แอร็อกซ์155 เป็นไปอย่างสนุก ท่านั่งที่ออกมาสไตล์สปอร์ตเหมาะกับสไตล์ของรถคันนี้ เบาะนั่งที่ดีนั่งสบายรวมถึงท่านั่งที่สอดรับสไตล์สปอร์ตดูจะเหมาะกับผู้ขับขี่ โดยรวมตลอดทั้งทริปในระยะกว่าสองร้อยกว่ากิโลเมตร ถือเป็นทริปแห่งความประทับใจกับสมรรถนะของรถสปอร์ตออโตเมติกรุ่นนี้ กับยามาฮ่าแอร็อกซ์155 ที่ต้องขอสรุปสั้นๆได้ใจความว่า “แรง หนึบ แน่น” สนุกจริงๆ