
ลดต้นทุนได้ กำไรก็เหลือเยอะขึ้น !!! หัวใจหลักของอาชีพคนส่งอาหาร คือการที่มีรถดีๆสักคัน รับน้ำหนักในการบรรทุกได้เยอะ ช่วงล่างต้องดีไม่งั้นอาหารที่นำไปส่งมีหวังได้กองรวมกันจนดูไม่ออกว่าสั่งอะไรมาทาน และที่สำคัญ เรื่องของความประหยัดน้ำมัน มันจะดีไหมละถ้าสมมุติว่าคุณส่งของแบบเดิมทุกวัน แต่เติมน้ำมันสองหรือสามวันครั้ง !!!
วันนี้ผมจะขอยกตัวอย่างรูปแบบของนักส่งอาหารมืออาชีพจาก Food Panda น้องนัท …..ผู้ที่ใช้รถ Yamaha Finn ในการส่งอาหาร เรามาดูกันว่าในหนึ่งวัน เขาสามารถรับงานได้กี่ออเดอร์ ทำยอดได้เท่าไหร่ และที่สำคัญ Yamaha Finn ทำให้เขาได้กำไรเพิ่มมาเท่าไหร่ !!?? ตามมาดูกันครับ
การรับงานของ Food Panda คือสามารถเลือกช่วงเวลาในการรับงานได้ วันนี้เราเริ่มงานกันวันอาทิตย์ ตั้งแต่ 11.00 น ในโซนปากเกร็ด นนทบุรี โดยน้องนัทเองมีรัศมีในการรับส่งอาหารอยู่ที่ 8 กิโลเมตร ซึ่งทันทีที่เริ่มเข้ากะ เสียงเตือนโทรศัพท์ก็ดังเข้ามาทันที ออเดอร์แรกนี่เป็นส้มตำปูปลาร้า!!! อาหารยอดฮิตประจำชาติเรา บอกตามตรงตอนที่ผมตามไปถ่ายทำนี่ก็เล่นเอาน้ำลายสออยู่เหมือนกัน เพราะว่าไม่ได้ออกมาหาของอร่อยทานนานแล้ว แต่ก็ต้องอดใจไว้ก่อนเพราะน้องนัทจะต้องรีบบึ่งรถไปส่งอาหารให้ลูกค้า ใช้เวลาไม่นานที่งงๆหน่อยก็คือการหาบ้านลูกค้า ซึ่งจุดนี้เองน้องนัทบอกว่า “ดีที่ขี่ยามาฮ่าฟินน์ เพราะตัวรถกระชับ มีวงเลี้ยวดี สามารถกลับรถในทางแคบได้ง่ายและรวดเร็ว”
หลังจากส่งอาหารเจ้าแรกไม่นาน ออเดอร์ใหม่ก็เด่งขึ้นมาทันที คราวนี้เป็นร้านโรตี แต่ทว่าตอนที่เราไปถึงนั้นร้านยังเปิดไม่เรียบร้อย อ้าว!!!ทำอะไรไม่ได้เพราะกดรับออเดอร์ไปแล้ว ก็ต้องนั่งรอกันพักใหญ่เพื่อให้ร้านเขาทำอาหารเสร็จก่อน ระหว่างนี้ก็นั่งเล่นบนเบาะนุ่มๆของรถ พร้อมกับหยิบเอาขวดน้ำออกจากช่องใส่ของหน้ารถมาดื่นแก้กระหายให้ใจเย็นลง พออาหารเสร็จเราก็ก็เดินทางกันต่อ บ้านลูกค้าอยู่ในหมู่บ้านซึ่งผมสังเกตุว่าทั้งถนนด้านนอกและในหมู่บ่านแถวนี้ มันมีลูกระนาดมากซะจนนับไม่ถูกจริง มีทั้งลูกเล็ก ลูกโต น้องนัทบอกกลับมาว่า ก็ได้ช่วงล่างนุ่มๆของ YAMAHA FINN นี่แหละที่ทำให้ขับขี่สบายหน่อย แถมไม่มีอาการกระเด้งอีกด้วย ซึ่งหมายถึงถ้าลูกค้าสั่งพิซซ่า มันจะไม่กลายเป็นหน้ารวมแน่นอน
แสงแดดเริ่มร้อนแรงมาขึ้นในช่วงบ่าย!!! นี่เราตระเวนส่งอาหารกันจนตัวเองยังไม่ได้พักกินข้าวกันเลยนะ!!! โอเค เสียงของน้องนัทตอบกลับมา เพราะในการทำงานนั้น เราสามารถกดพักเบรคได้ ทว่าในตอนที่น้องนัทกำลังเอื่อมมือออกไป ปลายนิ้วชี้กำลังทะยานเข้าไปใกล้กับหน้าจอโทรศัพท์นั้น ทุกคนก็ต้องสะดุ้งขึ้นมา เพราะออเดอร์มาเร็วกว่าเพียงเสี้ยววินาทีที่กำลังจะกดพักเบรค น้องนัทหันมามองหน้าผม แววตาที่แสดงออกถึงความเกรงใจออกมาจนผมรู้สึกได้ “เอาซิ ลุยกันต่อเลย” ผมตอบกลับอย่างมั่นใจ เพราะมันคืองานของน้องเขา คราวนี้เราไปร้านผัดไทยเจ้าดัง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ระหว่างที่รอพ่อครัวทำอาหาร ผมก็เลยได้จังหวะสัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่น้องเลือกใช้รถ YAMAHA FINN มาส่งอาหาร ซึ่งต้องบอกก่อนว่าก่อนหน้านี่น้องเขาใช้รถเน็กเก็ตแบบมีคลัตช์มือ “มันสะดวกดีครับพี่ รถครอบครัวมันไม่มีถังน้ำมันมากั้นตรงกลาง คือเราต้องเอากล่องที่ใช้ใส่อาหารมัดไว้กับท้ายรถ เวลาจะขึ้นลงรถที่มีถังน้ำมันโตๆนี่มันดูทุลักทุเลนะพี่ แถมถ้าขึ้นผิดจังหวะนี่มีเป้ากางเกงขาดแน่นอน” แล้วทำไมถึงเลือก YAMAHA FINN หล่ะ ?? ผมถามต่อทันที “ก็ดีไซน์มันสวยครับ ช่วงตรงด้านหน้าเนี่ย ผมไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร ที่มันเป็นเส้นไฟรวมกับไฟเลี้ยว อันนี้สวยดี ผมลองดูรถมาหลายรุ่นครับ พอดีเห็นในโฆษณาทางยูทูป เรื่องความประหยัด ซึ่งมันตอบโจทย์ตรงๆเลยนะ คือถ้ารถเรากินน้ำมันน้อย ไม่ต้องเติมบ่อยๆ กำไรเราก็เหลือเยอะขึ้น อีกทั้งไม่ต้องเสียเวลาแวะปั๊มบ่อยๆด้วย เสียเวลาไป 10 นาที นั้นก็หมายถึงเราขาดรายได้ไป 1 เจ้าเลยนะ” มันต้องรีบขนาดนั้นเลยเหรอเวลาส่งอาหาร ?? ผมยังคงยิงคำถามต่อไม่หยุด
“มันไม่ได้รีบขนาดนั้นครับ คือระยะทางในการส่งของ Food Panda มันไม่ได้ไกลมาก ที่นานคือการรออาหารมากกว่า ความเร็วที่ผมขับขี่ก็ปกตินะ แต่ด้วยความคล่องตัวของ YAMAHA FINN มันสามารถมุดเลี้ยวซอกแซกได้ง่าย แถมระบบเบรกเดิมที่ให้มานี่ก็ดีมาก หน้าปัดเองก็มีไฟบอกเกียร์มาครบทั้ง 4 เกียร์ คือผมว่ามันเป็นรถที่ครบอ่ะครับ ราคาไม่แพงแต่ได้ทั้งความสวยงาม คล่องตัว แถมรุ่นนี้เขายังรับประกันอะไหล่ทุกชิ้น 5 ปีเต็ม ขี่ได้เต็มที่แบบสบายใจ ถึงตอนนั้นผมคงเก็บเงินได้เยอะแล้วแหละ” ตั้งแต่เช้าจนใกล้ค่ำ ผมติดตามดูการทำงานส่งอาหารของน้องนัท ซึ่งวันนี้สามารถทำออเดอร์ได้มากถึง 11 ออเดอร์ วิ่งไปทั้งหมด 81 กม ได้ยอดค่าส่งอาหารถึง 507 บาท และเสียค่าน้ำมันไปเพียง 1.989 ลิตร เท่ากับเงิน 35 บาท น้ำมันแกสโซฮอลล์ 95